- Details
- Category: แบงก์พาณิชย์
- Published: Sunday, 28 February 2021 22:30
- Hits: 13799
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 9 พันล้านบาท ‘บ.บัตรกรุงศรีอยุธยา’ที่ระดับ ‘AAA’ แทนที่หุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาทชุดเดิม
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ที่ระดับ ‘AAA’ พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 9 พันล้านบาทอายุไม่เกิน 3 ปี ของบริษัทที่ระดับ ‘AAA’ ด้วยเช่นกัน แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่นี้ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์จะเพิ่มวงเงินรวมของหุ้นกู้เป็นไม่เกิน 9 พันล้านบาท จากเดิม 6 พันล้านบาท
อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการยกระดับจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งต่อสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่เป็นธุรกิจหลักของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ‘AAA’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ จากทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ การที่บริษัทมีฐานะเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาและอยู่ภายใต้กลุ่ม Solo Consolidation นั้นทำให้บริษัทได้รับการควบคุมอย่างเต็มรูปแบบจากธนาคารแม่ ซึ่งทำให้บริษัทอยู่ภายใต้การควบคุมแบบทางอ้อมจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดว่าด้วย ‘หลักเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่ม’ (Consolidated Supervision) บริษัทมีระบบปฏิบัติการร่วมกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาอย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ ธนาคารยังให้การสนับสนุนบริษัทในด้านความร่วมมือทางธุรกิจและการสนับสนุนทางการเงินด้วยการให้วงเงินสินเชื่อที่เพียงพอและต่อเนื่องซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่บริษัทอีกด้วย
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจบัตรเครดิต โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับประมาณ 11% ของมูลค่าสินเชื่อคงค้างของบัตรเครดิต และที่ระดับประมาณ 10% ของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2563 ยังคงอยู่ในระดับที่ดีแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ก็ตาม โดยสินเชื่อคงค้างของบริษัทหดตัวลง 6% มาอยู่ที่ 4.82 หมื่นล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2563 จาก 5.14 หมื่นล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2562 ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดของตนเอาไว้ได้จากการช่วยเหลือของธนาคารแม่ผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพและความร่วมมือที่มีกับธนาคารแม่
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายสำหรับหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญของบริษัท โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยในช่วงปี 2563-2565 ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5% ทั้งนี้ ปัจจัยที่อาจส่งผลกดดันต่อผลการดำเนินงานของบริษัทประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นรวมไปถึงเพดานอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 16% จากเดิมที่ 18% ตามเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจบัตรเครดิตของ ธปท. ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นมา
ทริสเรทติ้ง ยังคาดหวังด้วยว่าบริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพสินเชื่อที่ดีไว้ได้จากการมีนโยบายในการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวด ตลอดจนการมีระบบจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพ และการมีสำรองหนี้สูญที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจะมีการเตรียมความพร้อมที่เพียงพอที่จะรองรับความถดถอยของคุณภาพสินเชื่อที่อาจเกิดขึ้นได้ และอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ชั้นที่ 3 (ซึ่งจัดเป็นระดับชั้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เกินกำหนด 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 4% ในช่วงปี 2563-2565 เมื่อเทียบกับระดับ 3% ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2563 และน่าจะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
บริษัทน่าจะยังคงรักษาระดับฐานทุนให้แข็งแรงและเพียงพอสำหรับแผนการขยายธุรกิจและช่วยรองรับค่าใช้จ่ายหนี้สูญที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลงได้อีกด้วย โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีฐานทุนที่ยังคงแข็งแรงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงโดยเฉลี่ยในระยะเวลา 5 ปี (2561-2565) อยู่ที่ระดับ 20.4% ในขณะเดียวกัน ภาระหนี้ของบริษัทก็ยังคงอยู่ในระดับปานกลางโดยวัดจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่อยู่ในระดับ 1.5 เท่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวยังต่ำกว่าข้อกำหนดทางการเงินที่บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 6 เท่าอยู่ค่อนข้างมาก
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะความเป็นบริษัทย่อยที่เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยาและจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารแม่ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
สถานะเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงในกรณีที่สถานะเครดิตของกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยาเปลี่ยนแปลงไป หรือมุมมองของทริสเรทติ้ง เกี่ยวกับความสำคัญของบริษัทที่มีต่อกลุ่มหรือระดับของการสนับสนุนที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีต่อบริษัทเปลี่ยนแปลงไป
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตแบบกลุ่ม, 13 มกราคม 2564 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563 |
บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด (KCC)
อันดับเครดิตองค์กร: |
AAA |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
KCC213A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 365 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 |
AAA |
KCC219A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 |
AAA |
KCC229A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
AAA |
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 9,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี |
AAA |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
|
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ