WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ภาวะตลาดหุ้นไทย : ปิดบวก 10.14 จุด รับ Sentiment บวกตลาดตปท.หลังรายงานเฟดไร้สัญญาณเชิงลบ

     ตลาดหลักทรัพย์ ดัชนี ปิดเช้านี้ที่ 1,553.53 จุด เพิ่มขึ้น 10.14 จุด ซื้อขาย 23,344.57 ล้านบาท

    การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 1,558.68 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 1,550.51 จุด

   นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุน บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ดีดตัวรับSentiment เชิงบวกจากตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ยืนในแดนบวกกันถ้วนหน้า เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นแรงเมื่อคืนนี้ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)เปิดเผยรายงานการประชุมไม่ได้ส่งสัญญาณในเชิงลบ และยังมีความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ยังไม่แข็งแกร่ง ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่ได้มีการขยายความออกไปมาก

   แต่การดีดตัวขึ้นของดัชนีบ้านเราคงเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากตลาดมี valuation แพง เทรด P/E 16 เท่า ขณะที่ปัจจัยกระตุ้นในช่วงนี้ก็ไม่มี ส่วนการเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐฯก็รับข่าวกันไปแล้ว และคงจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานสักพัก ดังนั้น ตลาดฯเมื่อปรับตัวขึ้นก็ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกขายทำกำไรออกมาได้

    แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายประกิต กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งตัวในแดนบวกได้ พร้อมให้แนวรับ 1,545 จุด ส่วนแนวต้าน 1,562 จุด

                ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

                PTT    มูลค่าการซื้อขาย   1,940.18 ล้านบาท ปิดที่ 376.00  บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท

                TRUE   มูลค่าการซื้อขาย   1,495.37 ล้านบาท ปิดที่  11.30  บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท

                SIRI   มูลค่าการซื้อขาย     939.12 ล้านบาท ปิดที่   2.00  บาท ลดลง  0.04 บาท

                BTS    มูลค่าการซื้อขาย     861.38 ล้านบาท ปิดที่  10.20  บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท

                BBL    มูลค่าการซื้อขาย     713.27 ล้านบาท ปิดที่ 197.00  บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้ารีบาวด์ตามตลาดตปท.หลังเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเขึ้นดบ.

     นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะรีบาวด์เช่นเดียวกับดาวโจนส์ที่มีการดีดกลับขึ้นมา ภายหลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ไม่ได้พูดเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าดอกเบี้ยน่าจะทรงตัวไปอีกนาน อย่างไรก็ดี มองว่าคงจะเป็นการรีบาวด์ในกรอบจำกัด เนื่องจากยังเป็นห่วงเศรษฐกิจโลกอยู่ หลังจากที่ IMF และWorld Bank ได้หั่น GDP โลกลง

      ส่วนบ้านเราหลังจากที่ได้มีการออกนโยบายด้านเศรษฐกิจไปแล้ว ตลาดฯก็ให้การตอบรับไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีปัจจัยใหม่เพิ่มเข้า ขณะที่แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติก็ดูจะแผ่วลงไปและเป็นลักษณะของการเทรดดิ้ง ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากที่ valuation ของตลาดบ้านเราค่อนข้างแพง อ้างอิง P/E ของ MSCI Thailand จะพบว่าอยู่ที่ 13.8 เท่า สูงสุดในรอบ 15 ปี

      อย่างไรก็ดี ในสัปดาห์หน้าก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงของการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ต้องติดตามผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ในสัปดาห์หน้าก่อน

     พร้อมให้แนวรับ 1,540-1,535 จุด ส่วนแนวต้าน 1,550-1,555 จุด

     ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์คล่าสุด(8 ต.ค.)ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 16,994.22 จุด พุ่งขึ้น 274.83 จุด(+1.64%),ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,468.59 จุด เพิ่มขึ้น83.39 จุด(+1.90%),ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,968.89 จุด เพิ่มขึ้น 33.79จุด(+1.75%)

     - ตลาดหุ้นเอเชีย ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 85.55จุดดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 1.07 จุดดัชนี HSIตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 198.02 จุดดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 66.13 จุดดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 15.76 จุด และดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.86 จุด ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันภาษาเกาหลี

    - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(8 ต.ค.)1,543.39 จุด เพิ่มขึ้น 4.00จุด(+0.26%)

    - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,568.39 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 ต.ค.57

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(8 ต.ค.)ที่ 87.31 ดอลลาร์/บาร์เรล  ลดลง 1.54 ดอลลาร์

     - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(8 ต.ค.)ที่ 5.62 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 32.44/50 แนวโน้มแข็งค่า

      - กระทรวงพลังงานเตรียมเสนอแผนเคาะกรอบการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีสะท้อนต้นทุนจัดหาที่ 27.85 บาทต่อกก. ส่งผลให้แอลพีจีขนส่งต้องขึ้นอีก 5.85 บาทต่อกก. แอลพีจีครัวเรือนขึ้นอีก 5.22 บาทต่อกก. โดยใช้วิธีทยอยขยับเดือนละ 0.50 บาทต่อกก.เป็นเวลา 1 ปี และมีมาตรการช่วยเหลือครัวเรือนและร้านหาบเร่แผงลอยอาหารตามมาตรการเดิมที่ทำอยู่ ยันขึ้นทั้งหมดกระทบต่อราคาอาหารแค่จานละ 0.30 บาทเท่านั้น

    - อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า ช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยรวม 17.5 ล้านคน ลดลง 10% สร้างรายได้8.06 แสนล้านบาท ลดลง 7.% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักท่องเที่ยวที่ลดลงสูงสุด ได้แก่ ตลาดตะวันออกกลาง ลดลง 14%ตลาดโอเชียเนียยุโรป ตามลำดับ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย เริ่มทยอยเดินทางมาไทยตามปกติ

    - ธปท.เผยปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบทยอยลดลงในทุกเดือนตั้งแต่ต้นปี 57 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธนบัตรลดลงมากกว่าเหรียญ ผลจากภาวะเศรษฐกิจชะลอและคนเริ่มหันใช้จ่ายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด โดยเฉพาะโอนเงินจากบัญชีไปชำระค่าบริการต่างๆ ระยะหลังคนนิยมมากขึ้น อีกทั้งธนบัตรชนิดราคา 1,000 บาทและ 50 บาทมีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจลดลง

   - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดจากนโยบายเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเบิกจ่ายงบฯทำให้ครึ่งหลังปี 57 มีมูลค่าการลงทุนการก่อสร้างของภาครัฐออกมา 2.28-2.35 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 4.8-8.0% และทั้งปีขยายตัวได้ 0.02-1% พร้อมหนุนภาคก่อสร้างเอกชนคึกคักขึ้น

*หุ้นเด่นวันนี้

    - BEC(เคทีบี)"เก็งกำไร"ราคาเป้าหมาย 50.08 บาท ในที่สุดศาลปกครองได้สร้างข้อสรุปที่ชัดเจนกรณีพิพาทระหว่างมติ กสท. และช่อง 3อนาล็อก โดยมีคำสั่งให้ออกอากาศคู่ขนานได้ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.57 ส่งผลบวกต่อ BEC เนื่องจากไม่ต้องรับผลกระทบทางลบจากมติ กสท. ก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

    - SUSCO(เคทีบี)"เก็งกำไร"เป้าหมาย 4.98 บาท ขายหุ้น 3.97% ในหุ้น บ.ท่อส่งปิโตรเลียมไทย (Thappline) ให้กับ PTT คาดมีกำไรพิเศษจากรายได้ 453.75 ล้านบาทในงวด 4Q57

     - SPALI(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้าปี 58 ที่ 28 บาท แนวโน้มกำไร3Q14 จะดีขึ้นมากทั้ง Q-Q และ Y-Y จากมีคอนโดครบกำหนดโอนมูลค่าสูง 8.77 พันล้านบาท และคาดกำไร 4Q14 ทรงตัวดีต่อเนื่อง ยอดPresalesใน 3Q14 ทำได้ 6.86 พันล้านบาท เพิ่มถึง 77% Q-Qและ55% Y-Y ทำให้ 9M14 เป็น 67% ของเป้าทั้งปีมีโอกาสทำได้ตามเป้า เพราะจะมีคอนโดอีก 4 โครงการและบ้านอีก 3 โครงการเปิดขายใน 4Q14 ราคาหุ้นคิดเป็น PE ปีหน้าเพียง 9.9 เท่า ต่ำกว่ากลุ่ม กำไรปีหน้าโต 11%

    - TRUE(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ซื้อ"เป้า 14.60 บาท เสร็จสิ้นการเพิ่มทุน และส่งผลให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นมาก โดยฐานทุนเพิ่มขึ้นจาก6,228 ล้านบาท สิ้นสุด 2Q57 เป็น 72,203 ล้านบาท และ D/E ลดลง เข้าสู่ Net Cash ในปี 59 พร้อมคาดเริ่มสร้างกำไรจากการดำเนินงานปกติตั้งแต่ 4Q57 เป็นต้นไป เป็นไตรมาสแรกที่ไม่ต้องรับรู้ค่าเสื่อมของระบบ2G และดอกเบี้ยจ่ายจะเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนำเงิน52,000 ล้านบาทไปชำระคืนหนี้ระยะยาว จึงคาดมีเริ่มมีกำไรปกติราว1,500-2,000 ล้านบาทใน 4Q57 ได้ China mobile เป็นพันธมิตร

ตลาดหุ้นเอเชียทะยานขึ้นเช้านี้ ขานรับเฟดส่งสัญญาณยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย

     ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้นี้

    ดัชนี MSCI Asia Pacific Index (MXAP) ทะยาน 0.5% สู่ระดับ138.81 จุด เมื่อเวลา 9.02 น.ตามเวลาโตเกียว

    ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 15,681.53 จุด เพิ่มขึ้น85.55 จุดดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,383.86 จุด เพิ่มขึ้น 1.07 จุดดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,461.35 จุด เพิ่มขึ้น 198.02 จุดดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,021.31จุด เพิ่มขึ้น 66.13 จุดดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่3,242.47 จุด เพิ่มขึ้น 15.76 จุด และดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,825.18 จุด เพิ่มขึ้น 0.86 จุด

      ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันภาษาเกาหลี

      ตลาดหุ้นเอเชียทะยานขึ้นหลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 16-17 ก.ย. ซึ่งระบุว่า "สัญญาณชี้นำล่วงหน้า (Forward Guidance) ของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) นั้น จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจในปัจจุบัน และยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นหลังจากโครงการซื้อสินทรัพย์สิ้นสุดลง"

      รายงานดังกล่าวทำให้ตลาดคลายความวิตกกังวล และต่างก็คาดการณ์ว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้นี้ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาในปัจจุบัน นอกจากนี้ กรรมการเฟดบางคนยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงช่วงขาลงของเศรษฐกิจ และการแข็งค่าของดอลลาร์อาจมีแนวโน้มที่จะสกัดเงินเฟ้อในการปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่เป้าหมายที่ 2% ของเฟด

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 13.34 จุด จากแรงขายหุ้นธุรกิจเดินทาง

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันเมื่อคืนนี้ (8 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเดินทาง อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสอีโบลา

    ดัชนี FTSE 100 ลดลง 13.34 จุด หรือ 0.21% ปิดที่ 6,482.24 จุด

     หุ้นคาร์นิวัลซึ่งดำเนินธุรกิจเรือท่องเที่ยวลดลง 1.3% หลังจากบริษัทยกเลิกการเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศแอฟริกาตะวันตก ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา

    หุ้นเฟิร์สกรุ๊ป ร่วงลง 4.9% หลังจากรัฐบาลสก็อตแลนด์ได้มอบสัมปทานการให้บริการรถไฟ ScotRail มูลค่า 2.5 พันล้านปอนด์ ให้กับบริษัท Abellio ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งส่งผลให้เฟิร์สท์กรุ๊ปต้องสูญเสียรายได้ หลังจากที่เคยเป็นผู้บริหารการบริการรถไฟ ScotRail มาเป็นเวลานานถึง 10 ปี

    หุ้นเทสโก้เพิ่มขึ้น 1.4% หลังจากเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นของบริษัท

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุวิตก IMF ลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (8 ต.ค.) โดยดัชนี Stoxx Europe 600 อ่อนแรงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

    ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.9% ปิดที่ 328 จุด

    ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดวันทำการล่าสุดที่ 8,995.33 จุด ลดลง90.88 จุด, -1.00% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดวันทำการล่าสุดที่4,168.12 จุด ลดลง 41.02 จุด, -0.97% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 6,482.24 จุด ลดลง 13.34 จุด, -0.21%

    ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังคงซบเซา เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หลังจากไอเอ็มเอฟได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2557 สู่ระดับ 3.3% และปี2558 สู่ระดับ 3.8% ซึ่งลดลง 0.1% และ 0.2% จากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนก.ค. ตามลำดับ โดยไอเอ็มเอฟให้เหตุผลถึงการปรับลดคาดการณ์ว่า เป็นเพราะความอ่อนแอในยูโรโซน และการชะลอตัวในตลาดเกิดใหม่หลักๆหลายแห่ง

    หุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ร่วงลง 2.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า เหตุการณ์ประท้วงนัดหยุดงานซึ่งส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินในช่วง 2สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น อาจจะทำให้ผลกำไรรายปีของบริษัทหดตัวลง 500ล้านยูโร หรือ 632 ล้านดอลลาร์

     หุ้นเฟิร์สกรุ๊ป ร่วงลง 4.9% หลังจากรัฐบาลสก็อตแลนด์ได้มอบสัมปทานการให้บริการรถไฟ ScotRail มูลค่า 2.5 พันล้านปอนด์ ให้กับบริษัท Abellio ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งส่งผลให้เฟิร์สท์กรุ๊ปต้องสูญเสียรายได้ หลังจากที่เคยเป็นผู้บริหารการบริการรถไฟ ScotRail มาเป็นเวลานานถึง 10 ปี

    นักลงทุนจับตาดูรายงานผลประกอบการของบริษัทยุโรปในเดือนนี้ รวมถึงแกล็คโซสมิธไคลน์เอบีบีโนเกีย และรอยัล ฟิลิปส์ พร้อมกับจับตาดูข้อมูลการค้าระหว่างประเทศประจำเดือนส.ค.ของเยอรมนีและฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 274.83 จุดหลังเฟดส่งสัญญาณยังไม่ขึ้นดบ.

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (8 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้นี้

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,994.22 จุด พุ่งขึ้น 274.83จุด หรือ +1.64% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,468.59 จุด เพิ่มขึ้น 83.39 จุด หรือ +1.90% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,968.89 จุด เพิ่มขึ้น 33.79 จุด หรือ +1.75%

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก โดยดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ทะยานขึ้นแข็งแกร่งในรอบหลายเดือน หลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 16-17 ก.ย. ซึ่งระบุว่า "สัญญาณชี้นำล่วงหน้า (Forward Guidance) ของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) นั้น จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจในปัจจุบัน และยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นหลังจากโครงการซื้อสินทรัพย์สิ้นสุดลง"

      รายงานดังกล่าวทำให้ตลาดคลายความวิตกกังวล และต่างก็คาดการณ์ว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้นี้ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาในปัจจุบัน นอกจากนี้ กรรมการเฟดบางคนยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงช่วงขาลงของเศรษฐกิจ และการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ที่อาจจะทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐเคลื่อนไหวสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%

     โดยในบรรดาหุ้นที่มีการซื้อขายอย่างคึกคักนั้น รวมถึงหุ้นคอสต์โค โฮลเซล ที่พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่สูงเกินคาด ขณะที่หุ้นเมอร์ก แอนด์ โค และหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ต่างก็ปรับตัวขึ้น 2.9%

     หุ้น Yum! Brands ซึ่งเป็นเจ้าของฟาสท์ฟู๊ดชื่อดังอย่าง KFC และTaco Bell พุ่งขึ้น 1.5% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 4

     หุ้นอัลโค อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 อยู่ที่ 31 เซนต์ มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 23 เซนต์ ขณะที่รายได้ในไตรมาส 3 อยู่ที่6.24 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 5.85 พันล้านดอลลาร์

     นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ โดยเวลา19.30 น.ตามเวลาไทย สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และจากนั้นเวลา 21.00 น. จะเปิดเผยสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนส.ค.

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!