WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KTBบล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily 
 
SET INDEX
  ไปต่อที่เริ่มจำกัด  แต่ควรระมัดระวังต่อการพักตัว จากสัญญาณเตือนในเชิงลบมากขึ้น กรอบ 1780-1808
  ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีเดินหน้าต่อเนื่อง ทำ All Time High เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 1803 จุด ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาทำปิดที่ 1795 จุด ซึ่งดูเหมือนดัชนียังมีแรงที่ยังไปต่อได้ ที่คาดหวังจะยืน 1800 จุด เพื่อเดินหน้าทำ New High แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าความแรงของดัชนีที่ขึ้นมานั้นมีกราฟแท่งเทียนที่แสดงเตือนในเชิงลบที่มีรูปแบบเป็น Spinning Top บวกกับสัญญาณ Overbought และ Bearish Divergence โดยเฉพาะในภาพรายชม.
  แนวรับ 1780-1786
  แนวต้าน 1803-1810 // 1815
Technical Analyst :  พรรณนภา  เขมะสุรัตน์ // เลขทะเบียน 060110 // Tel. : 02-648-1124 // phannapa.k@ktbst .co.th

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
" คาดผ่าน 1800 ได้ "
          ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ :   คาดดัชนีฯ ยังมีโอกาสเดินหน้าต่อ โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวสัปดาห์นี้ที่ 1785-1821 จุด ... อาจมีการขยายทำกำไรที่แนวต้านจิตวิทยา ที่ 1800 จุด  แต่ด้วยมีปัจจัยบวก ที่สนับสนุนให้ดัชนีฯไปต่อ  หลักๆ จะเป็นปัจจัยในประเทศ (การเมือง-เศรษฐกิจ-ผลประกอบการ) ขณะที่การกลับมาไล่ซื้อหุ้นในตลาดต่างประเทศ (Bloomberg World Index +2% ช่วง 4 วันแรกของปี 2561) จากการความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของหลายๆประเทศ หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี  เงินดอลล่าร์อ่อนค่า และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขยับสูงขึ้น เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนให้นักลงทุนซื้อหุ้นต่อเนื่อง
          กลยุทธ์ลงทุน : หุ้นขนาดใหญ่ยังเป็นกลุ่มชี้นำตลาด แต่ด้วยราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับขึ้นมามาก จะเริ่มมีการสลับกลุ่มหรือเวียนกลุ่มเล่นในแต่ละวัน โดยเราให้ความสนใจกับสองกลุ่มหลัก คือ ธนาคารและพลังงาน-ปิโตรเคมี และหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว  อาทิ PTT*, STEC, KBANK TK, RS และหุ้นกลุ่มไฟฟ้าที่มีความแรงไม่หยุดอย่าง BGRIM* ,  BCPG* ขณะที่แรงซื้อของหุ้นค้าปลีก-ท่องเที่ยว จะเริ่มแผ่วลงเพราะราคาปรับตัวขึ้นมามาก
          หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค: AU , III , ORI , PTG           
          * เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
          SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,795.45 จุด ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 41.74 จุด หรือ +2.38% ปริมาณการซื้อขายขึ้นมาสูงมาก แรงซื้อเข้ามามากในหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน มองเป็นผลบวกจากกระแสเงินจากต่างชาติที่เข้ามายังตลาดหุ้นไทย และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น
ปัจจัยที่ควรติดตาม
ปัจจัยต่างประเทศ / ราคาน้ำมันดิบ
          ติดตามรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างประเทศ เงินเฟ้อสหรัฐฯ, ส่งออกจีน - มองสัปดาห์นี้ยังไม่มีปัจจัยต่างประเทศสำคัญเข้ามากระทบตลาด โดยสัปดาห์นี้จะมีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจได้แก่ เงินเฟ้อสหรัฐฯประจำเดือน ธ.ค. ซึ่งเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 2.2% และตัวเลขส่งออกจีนประจำเดือน ธ.ค. โดยช่วงเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 12.30%
          ราคาน้ำมันดิบสามารถปรับตัวขึ้นได้ - ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องแตะระดับ 62 เหรียญ/บาร์เรล โดยเรามีมุมมองในเชิงบวกต่อราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเราให้กรอบที่ระดับ 60-65 เหรียญ/บาร์เรล จากการประท้วงรัฐบาลโดยประชาชนอิหร่าน ที่อาจลามไปถึงการผลิตน้ำมันของอิหร่านเอง  และตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงตามลำดับ
ปัจจัยในประเทศ
          ติดตามการประชุม ครม. - แม้ว่าที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์ก่อนไม่มีการอนุมัติโครงการที่มีนัยสำคัญออกมา แต่คาดว่าในช่วงสัปดาห์นี้อาจจะมีประเด็นกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาเพิ่มเติมให้เห็น โดยในช่วงก่อนหน้านี้ ภาครัฐมีการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 โครงการ รวมมูลค่าสูงถึง 346,940 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อยในพื้นที่ภูมิภาค  
          TISCO ประกาศงบการเงินในวันที่ 12/01/2018, การเก็งกำไรงบการเงินสำหรับช่วง 4Q17 - ในสัปดาห์นี้จะมีการประกาศงบการเงินของ TISCO โดย KTBST คาดไว้ที่ 1,508 ล้านบาท (+16.6% YoY, -4.1% QoQ) โดยยังมีแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายการรวมพอร์ตกับ SCBT อยู่ …. การเก็งกำไรสำหรับงบการเงิน 4Q17 จะเริ่มมีมาให้เห็นโดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ โดย KTBST ทำการประมาณการไว้ตามนี้
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
ความเห็นต่อปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ (8-12  ม.ค. 61)
          ภาพรวมของตลาด แรงซื้อหุ้นในตลาดต่างประเทศช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย จากเศรษฐกิจโลกขยายตัว และได้โบรกเกอร์ใหญ่ 2 ราย   Morgan Stanley และ Citi Group ออกมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาด Emerging Market  
          ด้วยกำไรตลาด ปี '18-19  ที่คาดโต 7% และ 11% (Bloomberg)  หรือค่า Forward  P/E 16.8x และ 14.8x  ทำให้ตลาดหรือดัชนีถูกมองว่ายังไม่แพง  เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรในอนาคต
          ความเสี่ยงของสัปดาห์นี้  คือ แรงขายทำกำไรช่วงสั้น ของหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก  ซึ่งเป็นปกติของตลาดหุ้น แต่ด้วยทิศทางตลาดเป็นบวก  ภาพที่เราจะเห็นคือ การสลับตัวเล่นในหุ้นใหญ่ด้วยกัน และดัชนีฯจะเดินหน้าได้ช้าลง หุ้นขนาดเล็กยังมีความเสี่ยงจากการที่นักทุนขายออกและสลับมาเล่นหุ้นขนาดใหญ่
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์  #
          เงินบาทที่แข็งค่า จากการส่งออก-รายได้จากท่องเที่ยว ที่ดีขึ้น และมีเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น-พันธบัตรของไทย เราเปรียบเทียบค่าเงินบาทเทียบดอลล่าร์ช่วง 11 เดือนแรก ปี 2017 สูงขึ้น 9%
          ดัชนีอัตราแลกเปลี่ยนที่จริง (REER) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดค่าเงิน ช่วงเวลาเดียวกัน เพิ่มขึ้น 4% (สูงคือค่าเงินแพงขึ้น)  เทียบกับอินโดนีเซียและฟิลิปินส์ ที่ลดลง 3% และ 4% ตามลำดับ สวนทางกับเงินบาท เป็นสัญญาณว่าค่าเงินบาทดูแพงขึ้น (ความสามารถในการแข่งขันลดลง) เงินบาทล่าสุด 32.2 บาท ยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อได้อีก เพราะเงินดอลล่าร์ก็มีแนวโน้มที่จะยังอ่นค่าอยู่ต่อไป ผลคือ
ลบต่อหุ้นกลุ่มส่งออก (อีเล็คทรอนิคส์-เกษตร) ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่เน้นส่งออกไปก่อน
บวกต่อหุ้นที่มีหนี้หรือซื้อสินค้าเป็นเงินดอลล่าร์ (พลังงาน-ปิโตรเคมี)
          ผลบวกจากราคาสินค้าโภคภัณฑที่สูงขึ้น  เงินดอลล่าร์อ่อน และภาวะเศรษฐกิจโลกขยายตัวดี  หนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่เดินหน้าต่อ ขณะที่ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ผลักดันให้ราคาสินค้าสูงขึ้นด้วย หุ้นที่เป็นบวกทั้งดอลล่าร์อ่อนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น จึงตกไปอยู่ในหุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี ที่เป็น Top Picks ของเรา จะเป็น PTT , PTTEP , IRPC, PTTGC, BANPU, LANNA  รวมไปถึงหุ้นโรงกลั่นน้ำมัน แต่ทว่าเราเห็นว่า GRM เริ่มลดลงเราจึงยังไม่แนะนำในสัปดาห์นี้
          ค้าปลีก-ท่องเที่ยว เริ่มหมดแรง หุ้นกลุ่มที่เล่นมาก่อนหน้านี้ คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC, HMPRO, ROBINS) และหุ้นโรงแรม (ERW, CENTEL) ผลการดำเนินงานยังดี แต่เราสังเกตุเห็นว่าหุ้นเหล่านี้ ได้รับความนิยมน้อยลง
          หุ้นขนาดกลาง-เล็ก  ถึงจะไม่ได้เป็นกลุ่มหลักของตลาดในเวลานี้ แต่บางตัวเรามองว่าราคามีโอกาสที่จะสูงขึ้นได้ จากปัจจัยเฉพาะตัว อาทิ 
AMA : บริษัทเตรียมขยายกองเรือ จาก 10 เป็น 12 ลำ
PSTC : เข้าซื้อหุ้น Big Gas ผู้ขาย LPG สัดส่วน 51% และปีหน้ามีโรงไฟฟ้าใหม่ 4 โรง
ICHI : การฟื้นตัวของตลาดชาเขียวในประเทศ และส่งออก (อินโดนีเซีย)
Stock Picks of The Week   8-12 January 2018
PTT :  ราคาปิด 468.00 บาท ราคาเหมาะสม 466.17 บาท
          เรามองว่าบริษัทลูกทั้งหมดของ PTT ได้รับผลบวกจาก 3 ประเด็น 1) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 3Q17, 2) ค่าการกลั่นน้ำมันลดลง, และ 3) Spread ปิโตรเคมียังอยู่แนวโน้มที่ดี นอกจากนี้ การออก TOR ประมูลแหล่งปิโตรเลียม บงกชและเอราวัณในเดือน ก.พ. 2018 ถือว่าเร็วกว่ากำหนด เป็นบวกต่อ PTT
          Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 120,434 ล้านบาท (+27% YoY) และ ปี 2018 ที่ 117,490 ล้านบาท (-2% YoY)
          ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 466.17 บาท
STEC :  ราคาปิด 25.50 บาท ราคาเหมาะสม 35.50 บาท
          เรามองว่า STEC มีความน่าสนใจอยู่สองประเด็น 1) ผลบวกโดยตรงจากโครงการภาครัฐที่เริ่มมีการเร่งรัดมากขึ้น โครงการภาครัฐที่ตกค้างจากปี 2017 และโครงการ EEC 2) บริษัทถือหุ้น GULF  อยู่ 40 ล้านหุ้น ซึ่งหากยังไม่ขายหุ้นจำนวนนี้ออกไป STEC จะมีกำไรจากเงินลงทุน คำนวณจากราคาตลาดที่ 68.75 บาท กว่า 900 ลบ. ในขณะที่กำไรสุทธิต่อปีของ STEC อยู่ที่ประมาณ 1,300-1,500 ล้านบาท
          KTBST คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2017 ที่ 1,028 ล้านบาท (+12% YoY) และ ปี 2018 ที่ 1,545 ล้านบาท (+50% YoY) เติบโตได้ดีจากการรับรู้รายได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู
          ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 35.50 บาท
Weekly Portfolio     8-12 January 2018
หุ้น                เหตุผล
PTT*(ราคาปิด 468.00)   เรามองว่าบริษัทลูกทั้งหมดของ PTT ได้รับผลบวกจาก 3 ประเด็น 1) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 3Q17, 2) ค่าการกลั่นน้ำมันลดลง, และ 3) Spread ปิโตรเคมียังอยู่แนวโน้มที่ดี นอกจากนี้ การออก TOR ประมูลแหล่งปิโตรเลียม บงกชและเอราวัณในเดือน ก.พ. 2018 ถือว่าเร็วกว่ากำหนด เป็นบวกต่อ PTT .... Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 120,434 ล้านบาท (+27% YoY) และ ปี 2018 ที่ 117,490 ล้านบาท (-2% YoY
STEC(ราคาปิด 25.50)    เรามองว่า STEC มีความน่าสนใจอยู่สองประเด็น 1) ผลบวกโดยตรงจากโครงการภาครัฐที่เริ่มมีการเร่งรัดมากขึ้น โครงการภาครัฐที่ตกค้างจากปี 2017 และโครงการ EEC 2) บริษัทถือหุ้น GULF  อยู่ 40 ล้านหุ้น ซึ่งหากยังไม่ขายหุ้นจำนวนนี้ออกไป STEC จะมีกำไรจากเงินลงทุน คำนวณจากราคาตลาดที่ 68.75 บาท กว่า 900 ลบ. ในขณะที่กำไรสุทธิต่อปีของ STEC อยู่ที่ประมาณ 1,300-1,500 ล้านบาท .... KTBST คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2017 ที่ 1,028 ล้านบาท (+12% YoY) และ ปี 2018 ที่ 1,545 ล้านบาท (+50% YoY) เติบโตได้ดีจากการรับรู้รายได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู
KBANK(ราคาปิด 241.00)   ด้วยภาพในระยะยาวที่มีมุมมองว่าตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ จึงแนะนำ KBANK ซึ่งมีการเคลื่อนไหวของราคาล้อไปตามดัชนี นอกจากนีเรายังมองว่า KBANK ....  แม้คาดการณ์ผลประกอบการ KBANK สำหรับปี 2017 ยังไม่โดดเด่นนัก คาดที่ 37,536 ล้านบาท (-7% YoY)  เนื่องจาก KBANK ยังเน้นการตัดหนี้สูญ ทำให้ต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญอย่างต่อเนื่อง แต่มีมุมมองในเชิงบวกต่อปี 2018จากการตั้ง Credit Cost ในปี 2018 ที่ลดลง คาดกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 41,578 ล้านบาท (+11% YoY) โดยมาจากสินเชื่อจากรายใหญ่เป็นหลัก
TK(ราคาปิด 16.00)     เรามองว่า ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภูมิภาคที่มีมากขึ้นในช่วงหลังนี้จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญให้กับ TK โดย เราคาดกำไรสุทธิ 4Q17 ยังสามารถเติบโตได้ดี คาดการณ์ที่ 160 ล้านบาท (+20%QoQ และ 57%YoY) มีแรงหนุนจากยอดขายรถจักรยานยนต์ในประเทศที่ดีขึ้น ....  KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 517ล้านบาท (+20% YoY) และ ปี 2018 ที่ 600 ล้านบาท (+16% YoY)
RS(ราคาปิด 25.50)     เรามองว่า RS เป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวอยู่มาก จาก 1) คาดกำไรสุทธิสำหรับช่วง 4Q17 โดดเด่นที่สุดในกลุ่มทีวีดิจิทอล โดยคาดไว้ที่ 91 ล้านบาท พลิกกลับมามีกำไร YoY แต่ลดลง -27% QoQ, 2) ธุรกิจใหม่อย่าง Health & Beauty คาดจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ถึง 532% YoY รวมถึงแผนการขยายธุรกิจดังกล่าวไปต่างประเทศ โดยเริ่มจากกลุ่ม CLMV …. KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 1,570 ล้านบาท (+139% YoY) และ ปี 2018 ที่ 1,167 ล้านบาท (+55% YoY)
         
Analyst : Mongkol Puangpetra
          +662 648 1123
          [email protected]
          Analyst
          Nontapat Rushtasomboon
          +662 648 1127
          [email protected]
OO4265

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!