- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 03 January 2018 18:56
- Hits: 3123
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ปัจจัยภายใน ตลาดหุ้นไทยปี 60 ปิด 1753.71 จุด ปรับขึ้น 13% ต่อจากปี 59 ที่บวก 22% รวมสองปี SET เพิ่มขึ้น 35% นับว่าแข็งแกร่งมาก นักลงทุนสถาบันในปท.นำซื้อสุทธิ 1.05 แสนลบ. รายย่อยนำขายสุทธิ 9.5 หมื่นลบ. ดัชนีกลุ่มที่ปรับขึ้น Outperform ตลาดในปี 60 คือ ปิโตรเคมี, ขนส่ง, ยานยนต์, อสังหาฯ, ค้าปลีก, พลังงาน, ธนาคาร, สื่อ ส่วนกลุ่มที่ Underperform ตลาดคือ สื่อสาร, ไฟแนนซ์, กองทุนอสังหาฯ & Reit, อาหาร, วัสดุก่อสร้าง, โรงพยาบาล, อิเลคทรอนิกส์, บรรจุภัณฑ์, รับเหมาก่อสร้าง และเหล็ก
ปัจจัยภายนอก ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐทำ New high ปี 60 ไปกว่า 70 ครั้ง และยังมีแรงส่งดีต่อในต้นปี 61 เพราะมีความหวังว่าทรัมป์จะประกาศแผนลงทุนสาธารณูปโภคขนาดใหญ่วงเงิน 1 ล้านล้านUS$ ในเร็วๆนี้ และกำไรบจ.ในตลาดหุ้นสหรัฐจะเติบโตสูงเพราะได้อานิสงค์
จากการลดภาษีจาก 35% เป็น 21% เริ่มตั้งแต่ต้นปี 61 เป็นต้นไป ขณะที่การจ้างงานเต็มศักยภาพ ส่วนตลาดหุ้นยุโรปและอังกฤษแกว่ง
ในช่วงสั้นเพราะค่าเงินแข็งกระทบภาคส่งออก ด้านราคาน้ำมันดิบ อาจพักฐานบ้างหลังขึ้นมาแรง แต่ก็มีปัจจัยหนุนจากความไม่สงบใน
ตะวันออกกลาง คาดกำไรกลุ่มโภคภัณฑ์งวด 4Q60 จะออกมาแข็งแกร่งและเป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเหล่านี้ในระยะสั้น
DBSV ประเมินเป้าหมาย SET Index ปี 2561 ไว้ที่ 1,815 จุด เทียบเท่ากับ P/E ปี 2561 ที่ 16.7 เท่า (Median+1SD) และประมาณการ
EPS growth ของตลาดหุ้นไทยเท่ากับ 10% โดยหุ้นเด่นของไตรมาส 1/61 ประกอบด้วย กลุ่มท่องเที่ยว (เป็น AOT), กลุ่มธนาคารพาณิชย์
(เป็น BBL), กลุ่มโครงสร้างขั้นพื้นฐาน (เป็น AMATA, BEM), กลุ่มไฟแนนซ์ (เป็น MTLS), กลุ่มที่พักอาศัย & ปันผลสูง (เป็น KKP, SC)
กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภค (เป็น WORK, VGI) และกลุ่มโภคภัณฑ์ (IVL)
กลยุทธ์การลงทุน : ระยะสั้นมากภาพตลาดเป็นบวก แต่ควรระวังการแกว่ง ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและตลาด แนวต้าน
SET ระยะสั้นให้ไว้ที่ 1760, 1770-1780 ถ้าหลุด 1740 ควร Stop loss แนวรับ 1730-1720, 1700 จุด สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ KKP,EA, JKN, GLOBAL, AOT, BGRIM ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ TMB, TOP, PTTGC, TCAP, WHA, COM7, TISCO,STA, RS หุ้นที่หลุด List เป็น SYNTEC, WICE, ROBINS และหุ้นที่ให้หาจังหวะ Take profit ได้แก่ AMATA, IRPC, BCH, QH
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ปัจจัยภายใน ตลาดหุ้นไทยปี 60 ปิด 1753.71 จุด ปรับขึ้น 13% ต่อจากปี 59 ที่บวก 22% รวมสองปี SET เพิ่มขึ้น 35% นับว่าแข็งแกร่งมาก นักลงทุนสถาบันในปท.นำซื้อสุทธิ 1.05 แสนลบ. รายย่อยนำขายสุทธิ 9.5 หมื่นลบ. ดัชนีกลุ่มที่ปรับขึ้น Outperform ตลาดในปี 60 คือ ปิโตรเคมี, ขนส่ง, ยานยนต์, อสังหาฯ, ค้าปลีก, พลังงาน, ธนาคาร, สื่อ ส่วนกลุ่มที่ Underperform ตลาดคือ สื่อสาร, ไฟแนนซ์, กองทุนอสังหาฯ & Reit, อาหาร, วัสดุก่อสร้าง, โรงพยาบาล, อิเลคทรอนิกส์, บรรจุภัณฑ์, รับเหมาก่อสร้าง และเหล็ก
ปัจจัยภายนอก ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐทำ New high ปี 60 ไปกว่า 70 ครั้ง และยังมีแรงส่งดีต่อในต้นปี 61 เพราะมีความหวังว่าทรัมป์จะประกาศแผนลงทุนสาธารณูปโภคขนาดใหญ่วงเงิน 1 ล้านล้านUS$ ในเร็วๆนี้ และกำไรบจ.ในตลาดหุ้นสหรัฐจะเติบโตสูงเพราะได้อานิสงค์
จากการลดภาษีจาก 35% เป็น 21% เริ่มตั้งแต่ต้นปี 61 เป็นต้นไป ขณะที่การจ้างงานเต็มศักยภาพ ส่วนตลาดหุ้นยุโรปและอังกฤษแกว่ง
ในช่วงสั้นเพราะค่าเงินแข็งกระทบภาคส่งออก ด้านราคาน้ำมันดิบ อาจพักฐานบ้างหลังขึ้นมาแรง แต่ก็มีปัจจัยหนุนจากความไม่สงบใน
ตะวันออกกลาง คาดกำไรกลุ่มโภคภัณฑ์งวด 4Q60 จะออกมาแข็งแกร่งและเป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเหล่านี้ในระยะสั้น
DBSV ประเมินเป้าหมาย SET Index ปี 2561 ไว้ที่ 1,815 จุด เทียบเท่ากับ P/E ปี 2561 ที่ 16.7 เท่า (Median+1SD) และประมาณการ
EPS growth ของตลาดหุ้นไทยเท่ากับ 10% โดยหุ้นเด่นของไตรมาส 1/61 ประกอบด้วย กลุ่มท่องเที่ยว (เป็น AOT), กลุ่มธนาคารพาณิชย์
(เป็น BBL), กลุ่มโครงสร้างขั้นพื้นฐาน (เป็น AMATA, BEM), กลุ่มไฟแนนซ์ (เป็น MTLS), กลุ่มที่พักอาศัย & ปันผลสูง (เป็น KKP, SC)
กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภค (เป็น WORK, VGI) และกลุ่มโภคภัณฑ์ (IVL)
กลยุทธ์การลงทุน : ระยะสั้นมากภาพตลาดเป็นบวก แต่ควรระวังการแกว่ง ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและตลาด แนวต้าน
SET ระยะสั้นให้ไว้ที่ 1760, 1770-1780 ถ้าหลุด 1740 ควร Stop loss แนวรับ 1730-1720, 1700 จุด สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ KKP,EA, JKN, GLOBAL, AOT, BGRIM ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ TMB, TOP, PTTGC, TCAP, WHA, COM7, TISCO,STA, RS หุ้นที่หลุด List เป็น SYNTEC, WICE, ROBINS และหุ้นที่ให้หาจังหวะ Take profit ได้แก่ AMATA, IRPC, BCH, QH