- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 25 December 2017 17:32
- Hits: 461
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดหุ้นไทยน่าจะเงียบเหงา เพราะตลาดเพื่อนบ้านปิดทำการจากเทศกาลคริสต์มาส แต่ไทยยังได้แรงหนุนจาก LTF และ Window Dressing แต่ SET ที่ขึ้นมา 1742-1745 จุด มีโอกาสถูกขายกำไรระยะสั้น กลยุทธ์ยังแนะนำทยอยขายหุ้นแพง BJC, CPALL, ROBINS, CENTEL, TOP, LANNA แต่เลือกหุ้นปันผล (PTTEP, BANPU, INTUCH, CPF, SCC, SCB) Top picks คือ PTTEP(FV@118) ได้แรงหนุนราคานำมันขึ้นเกิน 60 เหรียญฯ และ SCC(FV@B620) หุ้น Laggard ปันผลสูง
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดหุ้นไทยน่าจะเงียบเหงา เพราะตลาดเพื่อนบ้านปิดทำการจากเทศกาลคริสต์มาส แต่ไทยยังได้แรงหนุนจาก LTF และ Window Dressing แต่ SET ที่ขึ้นมา 1742-1745 จุด มีโอกาสถูกขายกำไรระยะสั้น กลยุทธ์ยังแนะนำทยอยขายหุ้นแพง BJC, CPALL, ROBINS, CENTEL, TOP, LANNA แต่เลือกหุ้นปันผล (PTTEP, BANPU, INTUCH, CPF, SCC, SCB) Top picks คือ PTTEP(FV@118) ได้แรงหนุนราคานำมันขึ้นเกิน 60 เหรียญฯ และ SCC(FV@B620) หุ้น Laggard ปันผลสูง
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … มูลค่าการซื้อขายเบาบาง แต่ตลาดฯ ยังปิดบวกได้
ศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีแกว่งในกรอบแคบๆ ก่อนจะเร่งตัวในตอนท้าย ปิดตลาดที่ 1742.08 จุด เพิ่มขึ้น 5.17 จุด หรือ 0.30% มูลค่าการซื้อขาย 4.0 หมื่นล้านบาท (มี big lot หุ้น BJC จำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 1.86 พันล้านบาท ราคาเฉลี่ย 62 บาท) กลุ่มพลังงานฟื้นตัวได้ตามราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น โดย PTT เพิ่มขึ้นกว่า 1.83% เช่นเดียวกับ PTTEP เพิ่มขึ้น 0.25% ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้า BGRIM ปรับขึ้นแรง 6.60%, GPSC เพิ่มขึ้น 2.31% ตามด้วยกลุ่มปิโตรฯ PTTGC เพิ่มขึ้น 1.19%, GGC เพิ่มขึ้น 0.60% ส่วน IVL เพิ่มขึ้นอีก 1.42% ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรงวด 4Q60 จะขึ้นทำ new high ในรอบ 7 ปี จากการบันทึกรายการพิเศษปรับลดภาษีในสหรัฐฯ ส่วนหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ราคาวิ่งขึ้นแรง คือ SKN เพิ่มขึ้น 9.09% BFIT และ AMANAH เพิ่มขึ้น 6.60% และ 7.48% ตามลำดับ
ส่วนกลุ่มค้าปลีกยังเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ROBINS, BJC ลดลง 0.7%, 0.41% และ COM7 ลดลง 0.62% ขณะที่หุ้นรายตัวที่ปรับลดลงคือ EPG ลดลง 2.6%, ORI ลดลง 3.5% ส่วน SCC ลดลง 1.21% อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงชื่นชอบ SCC ซึ่งโดดเด่นด้วยปันผลสูงเกือบ 4% ต่อปี พร้อมกับกำไรที่จะฟื้นตัวดีขึ้นใน 4Q60 จากทั้งธุรกิจหลักทุกสายธุรกิจและมีโอกาสบันทึกกำไรพิเศษ
สำหรับแนวโน้มตลาดฯ วันนี้ จากการที่ดัชนีขึ้นมาใกล้แนวต้าน 1744 จุด ทำให้มีโอกาสแกว่งผันผวน ประเมินแนวรับที่ 1735 จุด
ศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีแกว่งในกรอบแคบๆ ก่อนจะเร่งตัวในตอนท้าย ปิดตลาดที่ 1742.08 จุด เพิ่มขึ้น 5.17 จุด หรือ 0.30% มูลค่าการซื้อขาย 4.0 หมื่นล้านบาท (มี big lot หุ้น BJC จำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 1.86 พันล้านบาท ราคาเฉลี่ย 62 บาท) กลุ่มพลังงานฟื้นตัวได้ตามราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น โดย PTT เพิ่มขึ้นกว่า 1.83% เช่นเดียวกับ PTTEP เพิ่มขึ้น 0.25% ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้า BGRIM ปรับขึ้นแรง 6.60%, GPSC เพิ่มขึ้น 2.31% ตามด้วยกลุ่มปิโตรฯ PTTGC เพิ่มขึ้น 1.19%, GGC เพิ่มขึ้น 0.60% ส่วน IVL เพิ่มขึ้นอีก 1.42% ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรงวด 4Q60 จะขึ้นทำ new high ในรอบ 7 ปี จากการบันทึกรายการพิเศษปรับลดภาษีในสหรัฐฯ ส่วนหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ราคาวิ่งขึ้นแรง คือ SKN เพิ่มขึ้น 9.09% BFIT และ AMANAH เพิ่มขึ้น 6.60% และ 7.48% ตามลำดับ
ส่วนกลุ่มค้าปลีกยังเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ROBINS, BJC ลดลง 0.7%, 0.41% และ COM7 ลดลง 0.62% ขณะที่หุ้นรายตัวที่ปรับลดลงคือ EPG ลดลง 2.6%, ORI ลดลง 3.5% ส่วน SCC ลดลง 1.21% อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงชื่นชอบ SCC ซึ่งโดดเด่นด้วยปันผลสูงเกือบ 4% ต่อปี พร้อมกับกำไรที่จะฟื้นตัวดีขึ้นใน 4Q60 จากทั้งธุรกิจหลักทุกสายธุรกิจและมีโอกาสบันทึกกำไรพิเศษ
สำหรับแนวโน้มตลาดฯ วันนี้ จากการที่ดัชนีขึ้นมาใกล้แนวต้าน 1744 จุด ทำให้มีโอกาสแกว่งผันผวน ประเมินแนวรับที่ 1735 จุด
ตลาดหุ้นไทยน่าจะเงียบ ตลาดหุ้นโลกส่วนใหญ่ปิดทำการวันคริสต์มาส
สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นโลกน่าจะเงียบเหงา เนื่องจากช่วงปลายปีและยังเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาส 25 ธ.ค. ทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปิดทำการ โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐ และประเทศกลุ่ม TIPS ยกเว้นในเอเซียมีเพียงบางประเทศเปิดทำการตามปกติ อาทิ ญี่ปุ่น, จีน และไทย อย่างไรก็ตามเชื่อยังมีปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย ทั้งแรงซื้อ LTF และ การทำ Window Dressing ตามด้วยราคาน้ำมันดิบที่ยังยืนเหนือ 60 เหรียญฯ คือ ราคาน้ำมันดิบดูไบ ล่าสุด 62.2 เหรียญฯ, Brent อยู่ที่ 64.7 เหรียญฯ และ WTI อยู่ที่ 58.4 เหรียญฯ เชื่อว่าเป็นปัจจัยหนุนหุ้นพลังงาน
ขณะที่ต่างประเทศ นั้นการปฎิรูปภาษีของสหรัฐผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้เซ็นอนุมัติเป็นกฎหมายเรียบร้อยแล้ว และน่าจะประกาศใช้ในปี 2561 คือ ลดภาษีนิติบุคคลลดเหลือ 21% จากเดิม 35% และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะลดขั้นบนสุดเหลือ 37% จากเดิม 39.6% ทั้งหมด 7 ขั้น ตามฐานรายได้ และจะมีผลบังคังใช้ในปี 2561 ทันที ซึ่งจะส่งผลให้กำไรตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเท่ากับอัตราภาษีนิติบุคคลที่ลดลง 14% แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐได้ตอบรับไปมากแล้ว สะท้อนจาก ผลตอบแทนตลาดหุ้นสหรัฐในปีนี้ ที่ปรับขึ้น คือ Dow Jones ราว 25.3% และ S&P500 ราว 19.8% นับตั้งแต่ต้นปี และหากพิจารณาย้อนหลังไป 2 ปี พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบสะสมรวมสูงถึงกว่า 39% นับว่าเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากแห่งหนึ่งของโลกทำให้ปี 2561 การปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะไม่ได้มาก
ขณะที่ต่างประเทศ นั้นการปฎิรูปภาษีของสหรัฐผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้เซ็นอนุมัติเป็นกฎหมายเรียบร้อยแล้ว และน่าจะประกาศใช้ในปี 2561 คือ ลดภาษีนิติบุคคลลดเหลือ 21% จากเดิม 35% และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะลดขั้นบนสุดเหลือ 37% จากเดิม 39.6% ทั้งหมด 7 ขั้น ตามฐานรายได้ และจะมีผลบังคังใช้ในปี 2561 ทันที ซึ่งจะส่งผลให้กำไรตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเท่ากับอัตราภาษีนิติบุคคลที่ลดลง 14% แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐได้ตอบรับไปมากแล้ว สะท้อนจาก ผลตอบแทนตลาดหุ้นสหรัฐในปีนี้ ที่ปรับขึ้น คือ Dow Jones ราว 25.3% และ S&P500 ราว 19.8% นับตั้งแต่ต้นปี และหากพิจารณาย้อนหลังไป 2 ปี พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบสะสมรวมสูงถึงกว่า 39% นับว่าเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากแห่งหนึ่งของโลกทำให้ปี 2561 การปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะไม่ได้มาก
คสช. ปลดล๊อคให้ทำกิจกรรมทางเมือง ตาม พ.ร.ป. พรรคการเมืองปี 2560
ภายใต้รัฐธรรมนูญฯ กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 150 วัน นับจากกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) 4 ฉบับมีผลบังคับใช้ ซึ่งจนถึงปัจจุบันปรากฏว่าเสร็จไปเพียง 2 ฉบับคือ
1. พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 - ประกาศใช้ 8 ก.ย 2560
2. พ.ร.ป. ว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 - ประกาศใช้ 10 ต.ค. 2560
ส่วนอีกพ.ร.ป. อีก 2 ฉบับ อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช. ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุมของ สนช. อีกครั้งในวันที่ 18 ม.ค. 2561 เพื่อลงมติในวาระที่ 2 และ 3 คือ
3. พ.ร.ป. ว่า ด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ. 25... – สนช. รับหลักการวาระ 1 เมื่อ 30 พ.ย. 2560
4. พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. ...- สนช. รับหลักการวาระ 1 เมื่อ 30 พ.ย. 2560
ASPS คาดการพิจารณาของ สนช. จะเสร็จสิ้นราว ม.ค. 2561 หรืออย่างช้าสุดไม่เกิน มี.ค. 2561 หลังจากนี้ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งน่าจะทำให้ กฎหมายบังคับใช้ราว เม.ย. หรือ มิ.ย. 2561 เป็นอย่างช้า พร้อมให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ก.ย. หรืออย่างช้า พ.ย. 2561
ส่วนประเด็นที่จะปลดล๊อคให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ที่พรรคการเมือง จะต้องทำตามกรอบเวลา หลังจาก พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง มีผลบังคับใช้ ภายใน 180 วัน ได้แก่ การแจ้งการเปลี่ยนแปลงการเปลี่ยนแปลงสมาชิกของพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 90 วัน และพรรคการเมืองต้องหาสมาชิกให้ครบ 500 คน ต้องมีทุนประเดิม 1 ล้านบาท ต้องจัดตั้งสาขาพรรครบ 4 ภาค ต้องมีตัวแทนพรรคในจังหวัดที่ประสงค์จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งฯ โดยสรุป พรรคการเมือง ต้องดำเนินกิจกรรมให้เสร็จสิ้นภายใน เม.ย.2561
อย่างไรก็ตามปัจจุบันพรรคการเมืองยังไม่ได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ แม้ภายหลัง พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ประกาศใช้ตั้งแต่ 10 ต.ค. 2560 แล้วก็ตามเพราะยังคงถูกจำกัดด้วยประกาศ คสช ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง (คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558) ดังนั้นเพื่อจะปลดล๊อกให้ พรรคการเมือง ทำกิจกรรม ตาม พ.ร.ป. ดังกล่าวได้ พร้อมกับมีการเลือกตั้งภายในกำหนด เมื่อเย็นวันศุกร์ นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช. จึงประกาศใช้มาตรา 44 ปลดล็อกการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยกำหนดให้กิจการ เป็น 4 ช่วง คือ
1 ตั้งแต่ 22 ธ.ค. 2560 – 1 มี.ค. 2561 ..ทำกิจกรรมได้บางส่วน เช่น ปรับปรุงฐานข้อมูสมาชิกพรรค .......
ช่วงที่ 2 ตั้งแต่ 1 มี.ค. – 1 เม.ย. 2561 ... พรรคการเมืองที่จัดตั้งใหม่ สามารถทำกิจกรรมได้ เช่น จดทะเบียนจัดตั้งพรรค
ช่วงที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2561 เป็นต้นไป ...พรรคการเมืองเดิม ทำกิจกรรมการเมืองได้ เช่น การประชุมพรรค การยืนยันสมาชิกพรรค (ภายใน 30 วัน)
และช่วงที่ 4 คือ ให้ยกเลิกประกาศ คสช. และคำสั่งห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมด โดยพรรคการเมืองเดิม สามารถทำกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2561
ภายใต้รัฐธรรมนูญฯ กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 150 วัน นับจากกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) 4 ฉบับมีผลบังคับใช้ ซึ่งจนถึงปัจจุบันปรากฏว่าเสร็จไปเพียง 2 ฉบับคือ
1. พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 - ประกาศใช้ 8 ก.ย 2560
2. พ.ร.ป. ว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 - ประกาศใช้ 10 ต.ค. 2560
ส่วนอีกพ.ร.ป. อีก 2 ฉบับ อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช. ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุมของ สนช. อีกครั้งในวันที่ 18 ม.ค. 2561 เพื่อลงมติในวาระที่ 2 และ 3 คือ
3. พ.ร.ป. ว่า ด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ. 25... – สนช. รับหลักการวาระ 1 เมื่อ 30 พ.ย. 2560
4. พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. ...- สนช. รับหลักการวาระ 1 เมื่อ 30 พ.ย. 2560
ASPS คาดการพิจารณาของ สนช. จะเสร็จสิ้นราว ม.ค. 2561 หรืออย่างช้าสุดไม่เกิน มี.ค. 2561 หลังจากนี้ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งน่าจะทำให้ กฎหมายบังคับใช้ราว เม.ย. หรือ มิ.ย. 2561 เป็นอย่างช้า พร้อมให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ก.ย. หรืออย่างช้า พ.ย. 2561
ส่วนประเด็นที่จะปลดล๊อคให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ที่พรรคการเมือง จะต้องทำตามกรอบเวลา หลังจาก พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง มีผลบังคับใช้ ภายใน 180 วัน ได้แก่ การแจ้งการเปลี่ยนแปลงการเปลี่ยนแปลงสมาชิกของพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 90 วัน และพรรคการเมืองต้องหาสมาชิกให้ครบ 500 คน ต้องมีทุนประเดิม 1 ล้านบาท ต้องจัดตั้งสาขาพรรครบ 4 ภาค ต้องมีตัวแทนพรรคในจังหวัดที่ประสงค์จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งฯ โดยสรุป พรรคการเมือง ต้องดำเนินกิจกรรมให้เสร็จสิ้นภายใน เม.ย.2561
อย่างไรก็ตามปัจจุบันพรรคการเมืองยังไม่ได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ แม้ภายหลัง พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ประกาศใช้ตั้งแต่ 10 ต.ค. 2560 แล้วก็ตามเพราะยังคงถูกจำกัดด้วยประกาศ คสช ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง (คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558) ดังนั้นเพื่อจะปลดล๊อกให้ พรรคการเมือง ทำกิจกรรม ตาม พ.ร.ป. ดังกล่าวได้ พร้อมกับมีการเลือกตั้งภายในกำหนด เมื่อเย็นวันศุกร์ นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช. จึงประกาศใช้มาตรา 44 ปลดล็อกการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยกำหนดให้กิจการ เป็น 4 ช่วง คือ
1 ตั้งแต่ 22 ธ.ค. 2560 – 1 มี.ค. 2561 ..ทำกิจกรรมได้บางส่วน เช่น ปรับปรุงฐานข้อมูสมาชิกพรรค .......
ช่วงที่ 2 ตั้งแต่ 1 มี.ค. – 1 เม.ย. 2561 ... พรรคการเมืองที่จัดตั้งใหม่ สามารถทำกิจกรรมได้ เช่น จดทะเบียนจัดตั้งพรรค
ช่วงที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2561 เป็นต้นไป ...พรรคการเมืองเดิม ทำกิจกรรมการเมืองได้ เช่น การประชุมพรรค การยืนยันสมาชิกพรรค (ภายใน 30 วัน)
และช่วงที่ 4 คือ ให้ยกเลิกประกาศ คสช. และคำสั่งห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมด โดยพรรคการเมืองเดิม สามารถทำกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2561
ต่างชาติสลับมาซื้อหุ้นในภูมิภาคเกือบทุกประเทศ รวมถึงไทย
ก่อนจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของต่างชาติ หรือเทศกาลคริสต์มาสนั้น ในวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติได้สลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 360 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 5 วัน) โดยเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ถูกขายสุทธิ 31 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 ประเทศถูกซื้อสุทธิทั้งหมด เริ่มจากเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 328 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) ตามมาด้วยไต้หวัน 25 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว), ฟิลิปปินส์ 4 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 24 ล้านเหรียญ หรือ 794 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ยังคงเดินหน้าซื้อสุทธิอีก 429 ล้านบาท และเป็นการซื้อสุทธิทุกวันในเดือน ธ.ค. นี้ โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 2.35 หมื่นล้านบาท
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 3.68 พันล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 6.24 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9 มีมูลค่ารวม 3.76 หมื่นล้านบาท)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO3971
ก่อนจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของต่างชาติ หรือเทศกาลคริสต์มาสนั้น ในวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติได้สลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 360 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 5 วัน) โดยเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ถูกขายสุทธิ 31 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 ประเทศถูกซื้อสุทธิทั้งหมด เริ่มจากเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 328 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) ตามมาด้วยไต้หวัน 25 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว), ฟิลิปปินส์ 4 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 24 ล้านเหรียญ หรือ 794 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ยังคงเดินหน้าซื้อสุทธิอีก 429 ล้านบาท และเป็นการซื้อสุทธิทุกวันในเดือน ธ.ค. นี้ โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 2.35 หมื่นล้านบาท
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 3.68 พันล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 6.24 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9 มีมูลค่ารวม 3.76 หมื่นล้านบาท)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO3971