WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASPบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 

กลยุทธ์การลงทุน
             ต่างชาติชะลอการขายและกลับมาซื้อเล็กน้อย หลัง Fed มีแผนการขึ้นดอกเบี้ย 2-3 ปีต่อเนื่อง ขณะที่การปรับโครงสร้างภาษีสหรัฐ หนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ส่วนในประเทศยังได้แรงหนุนจาก สถาบันในประเทศทั้งจากการทำงานของ LTF และการทำ Window Dressing หนุนดัชนียืนเหนือ 1700 จุดได้ต่อเนื่อง กลยุทธ์เลือกหุ้นที่เข้าข่ายทำ Window Dressing (PTT, SCC, INTUCH, TISCO) และหุ้น Laggards + ปันผลสูง (PTTEP, BANPU, INTUCH, CPF) Top picks  INTUCH(FV@79)  และ WHA([email protected]) ได้ประโยชน์จาก EEC และยังเข้าคำนวณ SET50
 
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย… หุ้นกลุ่มพลังงานนำตลาดปิดบวก
           วานนี้ดัชนีแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน และปิดที่ 1723.71 จุด เพิ่มขึ้น 6.02 จุด หรือ 0.35%  มูลค่าการซื้อขาย 4.52 หมื่นล้านบาท ได้แรงหนุนจากหุ้น Big Cap ของกลุ่มพลังงาน โดย PTT เพิ่มขึ้น 0.93% ส่วน PTTEP เพิ่มขึ้น 3.17% ราคาหุ้นของ PTTEP ยัง Laggard ราคาน้ำมันดิบโลกที่ยืนเหนือ 60 เหรียญฯ และมี Div.Yield เกือบ 4% ต่อปี  ส่วนหุ้นโรงกลั่นอย่าง IRPC เพิ่มขึ้นโดดเด่นกว่า 3.82% ตามด้วย TOP เพิ่มขึ้น 2.00% ESSO เพิ่มขึ้น 4.8% และ SRPC เพิ่มขึ้น 0.60% ตามด้วยกลุ่มปิโตรเคมี คือ IVL เพิ่มขึ้น 1.42% และ PTTGC เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.60% และกลุ่ม ICT โดย TRUE เพิ่มขึ้น 1.71% ADVANC เพิ่มขึ้น 0.81% และ INTUCH เพิ่มขึ้น 0.91% ซึ่งเป็น Top Pick ของฝ่ายวิจัย ด้วยเป็นหุ้นเด่น Window Dressing และยังสามารถคาด Div.Yield สูงกว่า 4.7%
  สวนทางกับหุ้นรายตัวอย่าง DELTA, BLA และ STPI ที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง 2.6%, 1.4% และ 2.40% ตามลำดับ ซึ่งเป็นหุ้นที่กคัดออกจาก SET100 รอบ มก.ค-มิ.ย. 2561  นอกจากนี้หุ้นที่ถูกขายหนักคือ MCS ลดลงอีก 1.77% ตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 30.63%  จากความกังวลหลายประการ ทั้งการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การลาออกของผู้บริหาร แต่ฝ่ายวิจัยยังคงมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ โดยคาด 4Q60 กำไรสุทธิสูงสุดของปีด้วยแผนส่งมอบงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนปี 2561 กำไรสุทธิจะเติบโตถึง 30% พร้อมคาด Div.Yield สูงถึง 7.3%  
  แนวโน้มตลาดวันนี้คาดดัชนียังปรับขึ้นได้ต่อ ทดสอบแนวต้าน 1730 จุด และแนวรับอยู่ที่ 1717 จุด
 
เอเชียยังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายกระตุ้นเศรษฐกิจ สวนทางสหรัฐ 
  ตลาดหุ้นยังได้ Sentiment บวกจากมาตรการปฎิรูปภาษีของสหรัฐ หลังจากที่รัฐสภาได้ข้อสรุปคือ ภาษีเงินได้นิติบุคคลจะลดลงเหลือ 21% จากเดิม 35% และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะลดขั้นบนสุดเหลือ 37% จากเดิม 39.6% ทั้งหมด 7 ขั้น (ตามฐานรายได้) ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือรัฐสภาลงคะแนนเสียง และส่งต่อให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ เซ็นอนุมัติเป็นกฎหมาย โดยน่าจะเสร็จสิ้นก่อนคริสต์มาส  25 ธ.ค. และมีผลในปี 2561 ทันที ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐต่อไป สะท้อนจากดัชนี DJIA ได้ปรับขึ้นทำ New High 24792.2 จุด หรือ 25.45%ytd ทำให้โอกาสการปรับขึ้นอาจจะมีอัตราการเพิ่มที่ลดลง โดยต้องติดตามแผนการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐว่าจะเป็นไปตามกำหนดเดิม ที่ในช่วง  2561-2562  จะขึ้นปีละ 3 ครั้งละๆ  0.25% ทำให้ดอกเบี้ยสิ้นปี 2561 อยู่ที่  2.25%  และปี 2562 และ  3%  ส่วนปี 2563  จะขึ้น 1ครั้ง อยู่ที่ 3.25%
  ทางด้านยุโรป พบว่า อัตราเงินเฟ้อยุโรปเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นเป็น 1.5%yoy เพิ่มจากเดือน ต.ค. เล็กน้อยที่ 1.4% สินค้าหลักที่ราคาปรับเพิ่มขึ้น อาทิ น้ำมันทำความร้อน (Heating oil) เพิ่มขึ้น 12.3% น้ำมันรถยนต์เพิ่มขึ้น 6.5% ไข่ ชีสและนมเพิ่มขึ้น 4.0% สอดคล้องกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0% (ตั้งแต่ มี.ค. 2559) และคงวงเงิน QE เดือนละ 3 หมื่นล้านยูโรไปจนถึงเดือน ก.ย. ปี 2561 เพราะอัตราเงินเฟ้อยังต่ำ และเศรษฐกิจในยุโรปบางประเทศยังฟื้นตัวล่าช้า โดยเฉพาะประเทศที่มีปัญหาทางการเงินกลุ่ม PIIGS
ทางฝั่งเอเซีย ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีกำหนดประชุมวันที่ 21 ธ.ค. ซึ่งคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.1% (ตั้งแต่ พ.ย. 58) ต่อไป และคงวงเงิน QQE เดือนละ 80 ล้านล้านเยนต่อปี ควบคู่กับการรักษาเส้น Yield Curve เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่น ล่าสุด ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.2%yoy  น่าจะหนุนให้ค่าเงินเยนทรงตัวในกรอบ หลังจากที่อ่อนตัวแรงในช่วงต้นปี 2560 ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นแกว่งตัวในกรอบ หรือการปรับเพิ่มขึ้นจำกัด  หลังจากที่ปรับเพิ่ม 20.18% ytd
  ขณะที่ไทย วันที่ 20 ธ.ค. จะมีการประชุม กนง. ตลาดยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% (ตั้งแต่ เม.ย.58)  เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไทย ยังต่ำ ล่าสุดอยู่ที่ 0.99%yoy (เฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี ม.ค.-พ.ย. ขยายตัว  0.66%yoy) สอดคล้องกับประเทศในภูมิภาคยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่ลดดอกเบี้ยฯ 2 ครั้งในปีนี้และอินเดียลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ขณะที่ประเทศอื่นๆ ยังยืนดอกเบี้ยที่เดิม และวันที่ 22 ธ.ค. จะมีรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ เดือน พ.ย.  ตลาดคาด ยอดส่งออก(ในรูปดอลลาร์) ขยายตัว 7.8%yoy ชะลอจาก 13.1%ในเดือน ต.ค. และยอดนำเข้าคาดขยายตัว  12.8%yoy จาก 13.5%   
 
สถาบันฯยังซื้อหุ้นไทยทุกวันในเดือนนี้ และต่างชาติเริ่มสลับมาซื้อบ้างเล็กน้อย
  ภาพรวมวานนี้ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค 128 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และเป็นการขายสุทธิทุกเกือบทุกประเทศ คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิ 105 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยไต้หวัน 21 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และอินโดนีเซีย 15 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 13) ยกเว้นตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 ราว 13 ล้านเหรียญ หรือ 431 ล้านบาท  และ เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่เดินหน้าซื้อสุทธิอีก 1.81 พันล้านบาท ทำให้ตลอดทั้งเดือน ธ.ค. 60 นี้ สถาบันฯยังคงซื้อสุทธิหุ้นไทยทุกวัน ด้วยมูลค่ารวมกว่า 1.82 หมื่นล้านบาท สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากเม็ดเงิน LTF ที่มักจะเข้ามาหนาแน่นในเดือนนี้ และช่วยหนุน SET Index ในช่วงที่เหลือของปี สำหรับข้อมูลการซื้อขายตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ล่าสุด เช้านี้ยังไม่มีการอัพเดท ส่วนข้อมูลในวันก่อนหน้าต่างชาติสลับมาขายหุ้นฟิลิปปินส์ราว 22 ล้านเหรียญ
  ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 4.33 พันล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิ 2.13 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5)
 
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2561 ยังเป็นขาขึ้นแต่อาจจะมี upside จำกัด 
  ฝ่ายวิจัยได้ออกกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 1/2561 (ติดตามอ่าน Invest+, 1Q61 เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2560 ได้ที่ www.asiaplus.co.th)  ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจปี 2561 ว่ายังคงฟื้นตัวได้ต่อ แต่ในอัตราที่ชะลอตัวลงจากปี 2560 เนื่องจากการเติบโตหลักๆ จะมาจากสหรัฐ โดยคาดหมายว่าจะยังเป็นผู้นำในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอีก 2 ปีข้างหน้า (ปี 2561 คาดปรับขึ้น 3 ครั้ง และปี 2562 คาดปรับขึ้นอีก 3 ครั้ง) สวนทางกับหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย คาดยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายถึงกลางปี 2561 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของสหรัฐ ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยฯ และการลดขนาดงบดุล แม้จะทำให้กระแสเงินทุนไหลออกในปีนี้ แต่ถือว่าไม่มากนัก (หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยอย่างหนักมาช่วงปี 2557 ภายหลังจากการหยุด QE) และด้วยการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติอยู่ในระดับที่ต่ำเพียง 31.23% (ถือครองที่เป็นชื่อปิดโอนของต่างชาติราว 24.12% และ NVDR ราว 7.11%) จึงทำให้กระแสเงินที่ไหลออกช่วงปลายปีเป็นเพียงการปรับพอร์ตตามปกติ และเชื่อว่าต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยในช่วง 1Q61 ซึ่งถือเป็นภาวะปกติของทุกปี  (ขายปลายปี และกลับมาซื้อต้นปี)
  ขณะที่กำไรสุทธิตลาดหุ้นไทยปี 2561 ประเมินว่าจะอยู่ที่ 1.11 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 113.5 บาทต่อหุ้น เติบโต 14.5% ก้าวกระโดดจากปี 2560 ที่เติบโตต่ำเพียง 4.7% (เนื่องจากมีการปรับประมาณการฯ ในหลายกลุ่มฯ ส่งผลให้กำไรสุทธิตลาดฯ ปี 2560 ลงมาอยู่ที่ 9.75 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 99.1 บาท) ทำให้ตลาดหุ้นไทยมี Expected P/E ปี 2561 ลดลงมาที่ 15 เท่า มีความน่าใจมากขึ้น เมื่อเทียบกับหลายตลาด ทั้ง TIP หรือประเทศพัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐ และญี่ปุ่น ยกเว้น มาเลเซีย และ จีน
  ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2561 อิง P/E 16 เท่า ได้ที่ 1,815 จุด และในงวด 1Q61 คาดดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,693 - 1,744 จุด ทำให้ upside ในการขึ้นของดัชนีมีจำกัด กลยุทธ์การลงทุนในงวด 1Q61 เน้นลงทุนรายหุ้น โดยแบ่งเป็น 3 theme หลัก คือ
  หุ้นที่คาดหวังเงินปันผลได้สูง มีระดับ P/E ไม่สูงมาก และแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโต คือ PTTEP (FV@B118), INTUCH (FV@B79)
  หุ้นทีได้ประโยชน์จากกระแสการลงทุนรอบใหม่ คือ STEC (FV@B30), SEAFCO (FV@B12), WHA ([email protected]), TK (FV@B20
  หุ้นที่เกาะกระแส Life Style สังคมเมืองที่นิยมใช้เวลาอยู่นอกบ้านมากขึ้น คือ PLANB ([email protected]) และ  RS ([email protected])
 
ภรณี ทองเย็น  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล  ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร  ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO3757

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!