- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 December 2017 19:40
- Hits: 1669
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily 12/12/60
SET INDEX
1706.52 +3.15 (+0.18) // Vol. 55,822
มีโอกาสไปต่อ ลุ้นการเบรก 1716 เพื่อทดสอบ 1730 อีกครั้ง
กรอบการเคลื่อนที่ 1700-1716
ดัชนีวันศุกร์ที่ผ่านมามีทิศทางที่ดี สามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อ เปิดตัวแรงในช่วงเช้าสร้าง Gap (1703.51-1704.07=0.56) พร้อมกับแกว่งตัวยืนบวกได้ตลอดทั้งวันและเบรก High ของสัปดาห์ที่ 1706 จุด ขึ้นทำ New High 1712 จุด ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาทำปิดที่จุดเดียวกับเปิด 1706 จุด จากภาพของดัชนีที่สามารถกลับขึ้นมายืน 1700 และเหนือกลุ่มเส้นค่าเฉลี่ย และไม่หลุด High ที่เพิ่งเบรก ทำให้มีแนวโน้มไปต่อ รอลุ้นการเบรก 1716 เพื่อขึ้นทดสอบ 1730 จุดอีกครั้ง แต่ระหว่างทางอาจมีจังหวะลงมาปิด Gap ที่เพิ่งไปไว้ได้
แนวรับ 1695-1700
แนวต้าน 1712-1716
SET INDEX
1706.52 +3.15 (+0.18) // Vol. 55,822
มีโอกาสไปต่อ ลุ้นการเบรก 1716 เพื่อทดสอบ 1730 อีกครั้ง
กรอบการเคลื่อนที่ 1700-1716
ดัชนีวันศุกร์ที่ผ่านมามีทิศทางที่ดี สามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อ เปิดตัวแรงในช่วงเช้าสร้าง Gap (1703.51-1704.07=0.56) พร้อมกับแกว่งตัวยืนบวกได้ตลอดทั้งวันและเบรก High ของสัปดาห์ที่ 1706 จุด ขึ้นทำ New High 1712 จุด ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาทำปิดที่จุดเดียวกับเปิด 1706 จุด จากภาพของดัชนีที่สามารถกลับขึ้นมายืน 1700 และเหนือกลุ่มเส้นค่าเฉลี่ย และไม่หลุด High ที่เพิ่งเบรก ทำให้มีแนวโน้มไปต่อ รอลุ้นการเบรก 1716 เพื่อขึ้นทดสอบ 1730 จุดอีกครั้ง แต่ระหว่างทางอาจมีจังหวะลงมาปิด Gap ที่เพิ่งไปไว้ได้
แนวรับ 1695-1700
แนวต้าน 1712-1716
Technical Analyst : พรรณนภา เขมะสุรัตน์ // เลยทะเบียน 060110 // Tel. : 02-648-1124 // phannapa.k@ktbst .co.th
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
" ลุ้น break กรอบ 1720 "
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : แม้ตลาดจะเปิดทำการเพียง 4 วัน แต่เรามีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่ดีขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า การเมือง-เศรษฐกิจ-ผลประกอบการบริษัทในตลาด 3 องค์ประกอบนั้นเอื้อต่อการลงทุนอยู่ แรงขายที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่ขายหุ้นไทยไป 3.4หมื่นลบ.ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากการขายทำกำไรและปรับพอร์ตรับนโยบาย Fed แต่ ณ จุดๆนี้ แรงขายน่าจะเริ่มลดลงและฝั่งกองทุนฯ (LTF-RMF) จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น อีกทั้งการเข้ามาเก็งกำไรงบ 4Q จะเริ่มมีเข้ามาในช่วงนี้แล้ว ... ปัจจัยต่างประแทศที่ คอยรั้งตลาดหุ้นไทยไว้ ทั้งกฎหมายภาษีของสหรัฐฯที่มีผลน้อยลง และเราคาดหมายเรื่องการปรับดอกเบี้ยของ Fed ในวันที่ 13 ธ.ค.อีก 0.25% ว่าตามสถิติแล้วหุ้นจะปรับขึ้นหลังจากนี้ เพราะถือว่ามีความชัดเจนไปแล้ว
กลยุทธ์ลงทุน : เราคาดการปรับฐานน่าจะจบลงในสัปดาห์นี้ และมีโอกาสที่ดัชนีฯจะวิ่งออกจากกรอบ sideway 1680-1720 จุด ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรามองในฝั่งบวกมากกว่า กลยุทธ์ของเราจึงปรับเป็นการ selective buy หุ้นที่อิงกับทิศทางตลาดหรือเป็นบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (ธนาคาร-ค้าปลีก-ท่องเที่ยว) หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคาอ่อนตัวลงไปมากแต่ปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: PTTGC*, BBL, SINGER, TCAP, TKN
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค: GPSC, AU, THANI
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,706.52 จุด ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 6.87 จุด หรือ +0.40% ตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้แม้ต่างชาติยังคงมีสถานะเป็นขายสุทธิ โดยตลาดได้รับแรงบวกจากรายงานผลดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สามารถปรับตัวขึ้นมาได้เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และสูงที่สุดในรอบ 33 เดือน
" ลุ้น break กรอบ 1720 "
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : แม้ตลาดจะเปิดทำการเพียง 4 วัน แต่เรามีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่ดีขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า การเมือง-เศรษฐกิจ-ผลประกอบการบริษัทในตลาด 3 องค์ประกอบนั้นเอื้อต่อการลงทุนอยู่ แรงขายที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่ขายหุ้นไทยไป 3.4หมื่นลบ.ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากการขายทำกำไรและปรับพอร์ตรับนโยบาย Fed แต่ ณ จุดๆนี้ แรงขายน่าจะเริ่มลดลงและฝั่งกองทุนฯ (LTF-RMF) จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น อีกทั้งการเข้ามาเก็งกำไรงบ 4Q จะเริ่มมีเข้ามาในช่วงนี้แล้ว ... ปัจจัยต่างประแทศที่ คอยรั้งตลาดหุ้นไทยไว้ ทั้งกฎหมายภาษีของสหรัฐฯที่มีผลน้อยลง และเราคาดหมายเรื่องการปรับดอกเบี้ยของ Fed ในวันที่ 13 ธ.ค.อีก 0.25% ว่าตามสถิติแล้วหุ้นจะปรับขึ้นหลังจากนี้ เพราะถือว่ามีความชัดเจนไปแล้ว
กลยุทธ์ลงทุน : เราคาดการปรับฐานน่าจะจบลงในสัปดาห์นี้ และมีโอกาสที่ดัชนีฯจะวิ่งออกจากกรอบ sideway 1680-1720 จุด ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรามองในฝั่งบวกมากกว่า กลยุทธ์ของเราจึงปรับเป็นการ selective buy หุ้นที่อิงกับทิศทางตลาดหรือเป็นบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (ธนาคาร-ค้าปลีก-ท่องเที่ยว) หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคาอ่อนตัวลงไปมากแต่ปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: PTTGC*, BBL, SINGER, TCAP, TKN
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค: GPSC, AU, THANI
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,706.52 จุด ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 6.87 จุด หรือ +0.40% ตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้แม้ต่างชาติยังคงมีสถานะเป็นขายสุทธิ โดยตลาดได้รับแรงบวกจากรายงานผลดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สามารถปรับตัวขึ้นมาได้เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และสูงที่สุดในรอบ 33 เดือน
ปัจจัยที่ควรติดตาม
ปัจจัยต่างประเทศ / ราคาน้ำมันดิบ
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯครั้งสุดท้ายของปี - ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจขยายตัวดี (การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม +2.28 แสนตำแหน่ง ; คาด +2.0 แสนตำแหน่ง) สนับสนุนต่อการประชุม FOMV 12-13 ธ.ค. ตลาดคาดจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ 0.25%... สถิติที่ผ่านมาพบว่า เวลา Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในแดนบวก ติดตามการส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า ตลาดคาดไว้ที่ประมาณ 3 ครั้ง เรามองประเด็นดังกล่าวเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย ถ้ามีความชัดเจนในเรื่องนโยบายการเงินและนโยบายของประธาน Fed คนใหม่มากขึ้น
ติดตามการหาข้อสรุปต่อกฎหมายปฎิรูปภาษีของสหรัฐฯที่จะเริ่มสัปดาห์นี้ - ตัวแทนของสภาผู้แทนฯและสภาสูงฯของสหรัฐฯ จะเริ่มหาข้อสรุปในส่วนที่แตกต่างของร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของทั้งสองสภาฯมาแล้ว
ราคาน้ำมันดิบผันผวน - ราคาน้ำมันดิบช่วงที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวที่ไร้ทิศทาง โดยมีปัจจัยบวกสลับลบ ปัจจัยบวกจากที่ประชุม OPEC มีมติการขยายเวลาลดกำลังการผลิต แต่มีปัจจัยลบจากสต็อคน้ำมันเบนซินที่ยังคงปรับตัวสูง
ปัจจัยในประเทศ
การกระตุ้นเศรษฐกิจจาก ครม. ชุดใหม่ - จับตาที่ประชุม ครม. ชุดใหม่ คาดว่าจะมีการเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว ที่ ดร.สมคิด จะดูแล ท่องเที่ยว-กีฬา นอกจากนี้คาดว่าภายในเดือนนี้จะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชันเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 123,000 ล้านบาท
ตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยปรับตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง - สัปดาห์ที่ผ่านมาตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. 2017 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 78.0 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น 4 เดือนติดต่อกัน และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 33 เดือน
ฝรั่งยังขายหุ้นแต่ได้รับการพยุงจากแรงซื้อของ LTF-RMF - ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นขายสุทธิกว่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นความเสี่ยงหนึ่งของตลาด อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วช่วงท้ายของปีจะมีแรงซื้อจาก LTF-RMF เข้ามา
หุ้นที่จะเข้าร่วมงาน Opportunity Day ในสัปดาห์นี้ได้แก่ UV, SEAFCO, SAT, TCJ, TCAP, TOA, BM, PJW, PLANB, TM, UBIS, AMANAH, A, ETE, KIAT, GCAP, SIS, ANAN, RJH, NWR. PORT
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
ความเห็นต่อปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ (12-15 ธ.ค. 60)
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : แม้ตลาดจะเปิดทำการเพียง 4 วัน แต่เรามีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่ดีขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า การเมือง-เศรษฐกิจ-ผลประกอบการบริษัทในตลาด 3 องค์ประกอบนั้นเอื้อต่อการลงทุนอยู่ แรงขายที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่ขายหุ้นไทยไป 3.4หมื่นลบ.ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากการขายทำกำไรและปรับพอร์ตรับนโยบาย Fed แต่ ณ จุดๆนี้ แรงขายน่าจะเริ่มลดลงและฝั่งกองทุนฯ (LTF-RMF) จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น อีกทั้งการเข้ามาเก็งกำไรงบ 4Q จะเริ่มมีเข้ามาในช่วงนี้แล้ว ... ปัจจัยต่างประแทศที่ คอยรั้งตลาดหุ้นไทยไว้ ทั้งกฎหมายภาษีของสหรัฐฯที่มีผลน้อยลง และเราคาดหมายเรื่องการปรับดอกเบี้ยของ Fed ในวันที่ 13 ธ.ค.อีก 0.25% ว่าตามสถิติแล้วหุ้นจะปรับขึ้นหลังจากนี้ เพราะถือว่ามีความชัดเจนไปแล้ว
กลยุทธ์ลงทุน : เราคาดการปรับฐานน่าจะจบลงในสัปดาห์นี้ และมีโอกาสที่ดัชนีฯจะวิ่งออกจากกรอบ sideway 1680-1720 จุด ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรามองในฝั่งบวกมากกว่า กลยุทธ์ของเราจึงปรับเป็นการ selective buy หุ้นที่อิงกับทิศทางตลาดหรือเป็นบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (ธนาคาร-ค้าปลีก-ท่องเที่ยว) หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคาอ่อนตัวลงไปมากแต่ปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์ #
หุ้นที่อิงกับทิศทางเศรษฐกิจไทย หรือการขยายตัวของ GDP รวมทั้งกำลังซื้อของคนที่เพิ่มขึ้นชัดเจน จากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงสุดในรอบ 33 เดือน และตัวเลขยอดขายของร้านค้าปลีก ทั้งนี้หุ้นกลุ่มนี้ คาดจะเป็นกลุ่มนำตลาดในสัปดาห์นี้ หุ้นที่เป็น top picks ประกอบด้วย BBL , CPALL , CENTEL
เก็งงบ 4Q เรามองสองกลุ่ม คือ ธนาคาร โดยหุ้นที่เราประเมินว่ากำไรจะออกมาดีทั้ง YoY และ QoQ ได้แก่ TCAP, TMB, BBL ส่วนหุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี ที่เราให้ความสนใจกับ กำไร 4Q ว่าจะออกมาดี แต่เลือกใน segment ของ โรงกลั่นน้ำมัน ที่ค่าการกลับยังอยู่ในระดับสูง $6-7 เหรียญ และได้ประโยชน์จากกำไร stock น้ำมัน ตัวหลักๆ คือ TOP และ spread ของ ปิโตรเคมี ที่ยังดีหุ้น PTTGC ได้อานิสงค์จาก ราคา Ethylene และ HDPE ที่ปรับตัวขึ้น
พิจารณาข้อมูล NVDR Trading หุ้นที่ปริมาณซื้อขายสูง เราสังเกตุเห็นว่า ช่วงหลังๆ หุ้นที่เป็น ตัวเลข net sell หรือ net buy นั้น จะไม่ค่อยสอดคล้องกับราคาหุ้นในตลาด อย่างเช่น หุ้นธนาคาร อาจเป็นเพราะราคาหุ้นถูกชี้นำโดยกองทุนในประเทศมากขึ้น
หุ้นคาดจะมีแรงซื้อ : BBL, IRPC
หุ้นเสี่ยง : KBANK, IVL
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จากนี้จะไปพูดถึงของปีหน้า ที่เป็น highlight จะไปเป็นบวกต่อหุ้นสองกลุ่ม คือ ลงทุนเอกชน (WHA, THANI , TCAP) , หุ้นที่มีฐานรายได้ในเชตภูมิภาค (SINGER , TK) และหุ้นอิงราคาสินค้าเกษตรจากความเข้าพยุงราคาไว้ (STA, LST)
การเข้ามาซื้อขายหุ้น IPO สองตัว คือ GULF และ THG ที่ดูดเงินจากระบบไปก่อนหน้านี้กว่า 2.7 หมื่นลบ. จะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาในหุ้นตัวอื่นๆ ของสองกลุ่มนี้ (โรงไฟฟ้า-โรงพยาบาล) อีกครั้ง เราให้ความสนใจต่อหุ้น 2 ตัว ที่ ราคาอ่อนตัวลงมาในช่วงก่อนหน้านี้ BGRIM และ BH
หุ้นนอกสายตาตัวอื่นๆ ที่มีรูปแบบราคาที่อาจมีการเข้ามาเก็งกำไรช่วงสั้น ได้แก่ ECL, HTECH, SCN, PLANB, SEAFCO
Stock Picks of The Week 12-15 December 2017
PTTGC :
ราคาปิด 82.25 บาท ราคาเหมาะสม 89.26 บาท
เรามองว่า PTTGC มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนที่มองว่า Spread ปิโตรเคมียังอยู่แนวโน้มที่ดี ราคา Ethylene และ HDPE สัปดาห์ล่าสุด ปรับขึ้น 0.4% และ 1.6% ตามลำดับ อีกทั้ง ค่าการกลั่นน้ำมันลดลง แต่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับ 3Q-17 ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสบันทึก stock gain
Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 34,997 ล้านบาท (+37% YoY) และปี 2018 ที่ 34,799 ล้านบาท (-1% YoY) จากแผนการขยายกำลังการผลิตในอนาคต
ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 89.26 บาท
BBL :
ราคาปิด 205.00 บาท ราคาเหมาะสม 222.00 บาท
ด้วยมุมมองว่าตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อในช่วงสัปดาห์นี้ จึงเลือก BBL ซึ่งมีราคาการซื้อขายที่แปรผันตามทิศทางตลาด นอกจากนี้ BBL จะได้รับผลบวกจากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่าภาพรวมสินเชื่อใน 4Q17 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงของการเบิกจ่ายของสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐ
KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 33,140 ล้านบาท (+4% YoY) และเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 36,743 ล้านบาท (+11% YoY)
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 222.00 บาท
Weekly Portfolio 12-15 December 2017
หุ้น เหตุผล
PTTGC(ราคาปิด 82.25) เรามองว่า PTTGC มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนที่มองว่า Spread ปิโตรเคมียังอยู่แนวโน้มที่ดี ราคา Ethylene และ HDPE สัปดาห์ล่าสุด ปรับขึ้น 0.4% และ 1.6% ตามลำดับ อีกทั้ง ค่าการกลั่นน้ำมันลดลง แต่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับ 3Q-17 ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสบันทึก stock gain .... Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 34,997 ล้านบาท (+37% YoY) และปี 2018 ที่ 34,799 ล้านบาท (-1% YoY) จากแผนการขยายกำลังการผลิตในอนาคต .... (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 89.26 บาท)
BBL(ราคาปิด 205.00) ด้วยมุมมองว่าตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อในช่วงสัปดาห์นี้ จึงเลือก BBL ซึ่งมีราคาการซื้อขายที่แปรผันตามทิศทางตลาด นอกจากนี้ BBL จะได้รับผลบวกจากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่าภาพรวมสินเชื่อใน 4Q17 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงของการเบิกจ่ายของสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐ .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 33,140 ล้านบาท (+4% YoY) และเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 36,743 ล้านบาท (+11% YoY) .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 222.00 บาท)
SINGER(ราคาปิด 13.10) ด้วยตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงขึ้น และการกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังกลุ่มฐานราก รวมไปถึงรวมถึงการขายสินค้าให้กับ JMART จะส่งผลให้ SINGER ได้รับผลบวกจากประเด็นดังกล่าว …. แม้กำไรสุทธิช่วง 3Q17 จะออกมาน่าผิดหวังแต่คาดว่าเราจะเห็นผลประกอบการที่เริ่มดีขึ้นตามลำดับในช่วงปีหน้าเป็นต้นไป .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ยังไม่โดดเด่นนักที่ 1 ล้านบาท แต่จะสามารถเติบโตได้ในปี 2018 ที่ 158 ล้านบาท และจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2019 ที่366 (+132% YoY) จากคาดการณ์ provision ที่ปรับตัวลง .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 15.10 บาท)
TCAP(ราคาปิด 55.75) คาดว่านักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรสำหรับงานมอเตอร์โชว์ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 11/12/2017 นี้ โดยผลตอบรับออกมาค่อนข้างดี ซึ่งยอดจองจนถึงวันที่ 7/12/2017 เติบโต +27.3% YoY โดยมองว่า TCAP จะได้ผลบวกจากประเด็นดังกล่าว .... ในด้านผลประกอบการ ยังมอว่าภาพรวมกำไรสุทธิใน 4Q17 มีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องจากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้น MBK และการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมรถยนต์ .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 6,965 ล้านบาท (+16% YoY) และปี 2018 ที่ 7,803 ล้านบาท (+12% YoY) .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 56.00 บาท)
TKN(ราคาปิด 21.50) เริ่มเห็นปริมาณการซื้อขายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คาดเป็นการเก็งกำไรจากการคาดการณ์ผลประกอบการที่จะกลับมาเติบโตได้สูง .... เรามองว่าปัญหาเรื่องโรงงานใหม่ที่มีปัญหาในด้าน operation จะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 นี้ อีกทั้งการขยายตลาดไปยังต่างประเทศยังส่งผลบวกต่อ TKN .... KTBST คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2017 ที่ 664 ล้านบาท (-15% YoY) จากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายจากโรงงานใหม่ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะเป็นจุดต่ำสุดของบริษัท และจะสามารถเติบโตได้ในปี 2018 ที่ 949 ล้านบาท (+43% YoY) …. (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 28.00 บาท)
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯครั้งสุดท้ายของปี - ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจขยายตัวดี (การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม +2.28 แสนตำแหน่ง ; คาด +2.0 แสนตำแหน่ง) สนับสนุนต่อการประชุม FOMV 12-13 ธ.ค. ตลาดคาดจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ 0.25%... สถิติที่ผ่านมาพบว่า เวลา Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในแดนบวก ติดตามการส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า ตลาดคาดไว้ที่ประมาณ 3 ครั้ง เรามองประเด็นดังกล่าวเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย ถ้ามีความชัดเจนในเรื่องนโยบายการเงินและนโยบายของประธาน Fed คนใหม่มากขึ้น
ติดตามการหาข้อสรุปต่อกฎหมายปฎิรูปภาษีของสหรัฐฯที่จะเริ่มสัปดาห์นี้ - ตัวแทนของสภาผู้แทนฯและสภาสูงฯของสหรัฐฯ จะเริ่มหาข้อสรุปในส่วนที่แตกต่างของร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของทั้งสองสภาฯมาแล้ว
ราคาน้ำมันดิบผันผวน - ราคาน้ำมันดิบช่วงที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวที่ไร้ทิศทาง โดยมีปัจจัยบวกสลับลบ ปัจจัยบวกจากที่ประชุม OPEC มีมติการขยายเวลาลดกำลังการผลิต แต่มีปัจจัยลบจากสต็อคน้ำมันเบนซินที่ยังคงปรับตัวสูง
ปัจจัยในประเทศ
การกระตุ้นเศรษฐกิจจาก ครม. ชุดใหม่ - จับตาที่ประชุม ครม. ชุดใหม่ คาดว่าจะมีการเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว ที่ ดร.สมคิด จะดูแล ท่องเที่ยว-กีฬา นอกจากนี้คาดว่าภายในเดือนนี้จะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชันเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 123,000 ล้านบาท
ตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยปรับตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง - สัปดาห์ที่ผ่านมาตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. 2017 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 78.0 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น 4 เดือนติดต่อกัน และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 33 เดือน
ฝรั่งยังขายหุ้นแต่ได้รับการพยุงจากแรงซื้อของ LTF-RMF - ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นขายสุทธิกว่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นความเสี่ยงหนึ่งของตลาด อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วช่วงท้ายของปีจะมีแรงซื้อจาก LTF-RMF เข้ามา
หุ้นที่จะเข้าร่วมงาน Opportunity Day ในสัปดาห์นี้ได้แก่ UV, SEAFCO, SAT, TCJ, TCAP, TOA, BM, PJW, PLANB, TM, UBIS, AMANAH, A, ETE, KIAT, GCAP, SIS, ANAN, RJH, NWR. PORT
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
ความเห็นต่อปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ (12-15 ธ.ค. 60)
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : แม้ตลาดจะเปิดทำการเพียง 4 วัน แต่เรามีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่ดีขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า การเมือง-เศรษฐกิจ-ผลประกอบการบริษัทในตลาด 3 องค์ประกอบนั้นเอื้อต่อการลงทุนอยู่ แรงขายที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่ขายหุ้นไทยไป 3.4หมื่นลบ.ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากการขายทำกำไรและปรับพอร์ตรับนโยบาย Fed แต่ ณ จุดๆนี้ แรงขายน่าจะเริ่มลดลงและฝั่งกองทุนฯ (LTF-RMF) จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น อีกทั้งการเข้ามาเก็งกำไรงบ 4Q จะเริ่มมีเข้ามาในช่วงนี้แล้ว ... ปัจจัยต่างประแทศที่ คอยรั้งตลาดหุ้นไทยไว้ ทั้งกฎหมายภาษีของสหรัฐฯที่มีผลน้อยลง และเราคาดหมายเรื่องการปรับดอกเบี้ยของ Fed ในวันที่ 13 ธ.ค.อีก 0.25% ว่าตามสถิติแล้วหุ้นจะปรับขึ้นหลังจากนี้ เพราะถือว่ามีความชัดเจนไปแล้ว
กลยุทธ์ลงทุน : เราคาดการปรับฐานน่าจะจบลงในสัปดาห์นี้ และมีโอกาสที่ดัชนีฯจะวิ่งออกจากกรอบ sideway 1680-1720 จุด ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรามองในฝั่งบวกมากกว่า กลยุทธ์ของเราจึงปรับเป็นการ selective buy หุ้นที่อิงกับทิศทางตลาดหรือเป็นบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (ธนาคาร-ค้าปลีก-ท่องเที่ยว) หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคาอ่อนตัวลงไปมากแต่ปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์ #
หุ้นที่อิงกับทิศทางเศรษฐกิจไทย หรือการขยายตัวของ GDP รวมทั้งกำลังซื้อของคนที่เพิ่มขึ้นชัดเจน จากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงสุดในรอบ 33 เดือน และตัวเลขยอดขายของร้านค้าปลีก ทั้งนี้หุ้นกลุ่มนี้ คาดจะเป็นกลุ่มนำตลาดในสัปดาห์นี้ หุ้นที่เป็น top picks ประกอบด้วย BBL , CPALL , CENTEL
เก็งงบ 4Q เรามองสองกลุ่ม คือ ธนาคาร โดยหุ้นที่เราประเมินว่ากำไรจะออกมาดีทั้ง YoY และ QoQ ได้แก่ TCAP, TMB, BBL ส่วนหุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี ที่เราให้ความสนใจกับ กำไร 4Q ว่าจะออกมาดี แต่เลือกใน segment ของ โรงกลั่นน้ำมัน ที่ค่าการกลับยังอยู่ในระดับสูง $6-7 เหรียญ และได้ประโยชน์จากกำไร stock น้ำมัน ตัวหลักๆ คือ TOP และ spread ของ ปิโตรเคมี ที่ยังดีหุ้น PTTGC ได้อานิสงค์จาก ราคา Ethylene และ HDPE ที่ปรับตัวขึ้น
พิจารณาข้อมูล NVDR Trading หุ้นที่ปริมาณซื้อขายสูง เราสังเกตุเห็นว่า ช่วงหลังๆ หุ้นที่เป็น ตัวเลข net sell หรือ net buy นั้น จะไม่ค่อยสอดคล้องกับราคาหุ้นในตลาด อย่างเช่น หุ้นธนาคาร อาจเป็นเพราะราคาหุ้นถูกชี้นำโดยกองทุนในประเทศมากขึ้น
หุ้นคาดจะมีแรงซื้อ : BBL, IRPC
หุ้นเสี่ยง : KBANK, IVL
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จากนี้จะไปพูดถึงของปีหน้า ที่เป็น highlight จะไปเป็นบวกต่อหุ้นสองกลุ่ม คือ ลงทุนเอกชน (WHA, THANI , TCAP) , หุ้นที่มีฐานรายได้ในเชตภูมิภาค (SINGER , TK) และหุ้นอิงราคาสินค้าเกษตรจากความเข้าพยุงราคาไว้ (STA, LST)
การเข้ามาซื้อขายหุ้น IPO สองตัว คือ GULF และ THG ที่ดูดเงินจากระบบไปก่อนหน้านี้กว่า 2.7 หมื่นลบ. จะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาในหุ้นตัวอื่นๆ ของสองกลุ่มนี้ (โรงไฟฟ้า-โรงพยาบาล) อีกครั้ง เราให้ความสนใจต่อหุ้น 2 ตัว ที่ ราคาอ่อนตัวลงมาในช่วงก่อนหน้านี้ BGRIM และ BH
หุ้นนอกสายตาตัวอื่นๆ ที่มีรูปแบบราคาที่อาจมีการเข้ามาเก็งกำไรช่วงสั้น ได้แก่ ECL, HTECH, SCN, PLANB, SEAFCO
Stock Picks of The Week 12-15 December 2017
PTTGC :
ราคาปิด 82.25 บาท ราคาเหมาะสม 89.26 บาท
เรามองว่า PTTGC มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนที่มองว่า Spread ปิโตรเคมียังอยู่แนวโน้มที่ดี ราคา Ethylene และ HDPE สัปดาห์ล่าสุด ปรับขึ้น 0.4% และ 1.6% ตามลำดับ อีกทั้ง ค่าการกลั่นน้ำมันลดลง แต่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับ 3Q-17 ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสบันทึก stock gain
Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 34,997 ล้านบาท (+37% YoY) และปี 2018 ที่ 34,799 ล้านบาท (-1% YoY) จากแผนการขยายกำลังการผลิตในอนาคต
ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 89.26 บาท
BBL :
ราคาปิด 205.00 บาท ราคาเหมาะสม 222.00 บาท
ด้วยมุมมองว่าตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อในช่วงสัปดาห์นี้ จึงเลือก BBL ซึ่งมีราคาการซื้อขายที่แปรผันตามทิศทางตลาด นอกจากนี้ BBL จะได้รับผลบวกจากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่าภาพรวมสินเชื่อใน 4Q17 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงของการเบิกจ่ายของสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐ
KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 33,140 ล้านบาท (+4% YoY) และเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 36,743 ล้านบาท (+11% YoY)
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 222.00 บาท
Weekly Portfolio 12-15 December 2017
หุ้น เหตุผล
PTTGC(ราคาปิด 82.25) เรามองว่า PTTGC มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนที่มองว่า Spread ปิโตรเคมียังอยู่แนวโน้มที่ดี ราคา Ethylene และ HDPE สัปดาห์ล่าสุด ปรับขึ้น 0.4% และ 1.6% ตามลำดับ อีกทั้ง ค่าการกลั่นน้ำมันลดลง แต่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับ 3Q-17 ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสบันทึก stock gain .... Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 34,997 ล้านบาท (+37% YoY) และปี 2018 ที่ 34,799 ล้านบาท (-1% YoY) จากแผนการขยายกำลังการผลิตในอนาคต .... (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 89.26 บาท)
BBL(ราคาปิด 205.00) ด้วยมุมมองว่าตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อในช่วงสัปดาห์นี้ จึงเลือก BBL ซึ่งมีราคาการซื้อขายที่แปรผันตามทิศทางตลาด นอกจากนี้ BBL จะได้รับผลบวกจากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่าภาพรวมสินเชื่อใน 4Q17 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงของการเบิกจ่ายของสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐ .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 33,140 ล้านบาท (+4% YoY) และเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 36,743 ล้านบาท (+11% YoY) .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 222.00 บาท)
SINGER(ราคาปิด 13.10) ด้วยตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงขึ้น และการกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังกลุ่มฐานราก รวมไปถึงรวมถึงการขายสินค้าให้กับ JMART จะส่งผลให้ SINGER ได้รับผลบวกจากประเด็นดังกล่าว …. แม้กำไรสุทธิช่วง 3Q17 จะออกมาน่าผิดหวังแต่คาดว่าเราจะเห็นผลประกอบการที่เริ่มดีขึ้นตามลำดับในช่วงปีหน้าเป็นต้นไป .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ยังไม่โดดเด่นนักที่ 1 ล้านบาท แต่จะสามารถเติบโตได้ในปี 2018 ที่ 158 ล้านบาท และจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2019 ที่366 (+132% YoY) จากคาดการณ์ provision ที่ปรับตัวลง .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 15.10 บาท)
TCAP(ราคาปิด 55.75) คาดว่านักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรสำหรับงานมอเตอร์โชว์ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 11/12/2017 นี้ โดยผลตอบรับออกมาค่อนข้างดี ซึ่งยอดจองจนถึงวันที่ 7/12/2017 เติบโต +27.3% YoY โดยมองว่า TCAP จะได้ผลบวกจากประเด็นดังกล่าว .... ในด้านผลประกอบการ ยังมอว่าภาพรวมกำไรสุทธิใน 4Q17 มีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องจากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้น MBK และการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมรถยนต์ .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 6,965 ล้านบาท (+16% YoY) และปี 2018 ที่ 7,803 ล้านบาท (+12% YoY) .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 56.00 บาท)
TKN(ราคาปิด 21.50) เริ่มเห็นปริมาณการซื้อขายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คาดเป็นการเก็งกำไรจากการคาดการณ์ผลประกอบการที่จะกลับมาเติบโตได้สูง .... เรามองว่าปัญหาเรื่องโรงงานใหม่ที่มีปัญหาในด้าน operation จะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 นี้ อีกทั้งการขยายตลาดไปยังต่างประเทศยังส่งผลบวกต่อ TKN .... KTBST คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2017 ที่ 664 ล้านบาท (-15% YoY) จากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายจากโรงงานใหม่ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะเป็นจุดต่ำสุดของบริษัท และจะสามารถเติบโตได้ในปี 2018 ที่ 949 ล้านบาท (+43% YoY) …. (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 28.00 บาท)
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]
OO3474