- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 29 August 2014 16:43
- Hits: 3436
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุดคือ 1550”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ภาพตลาดวันก่อน : อ่อนลง เมื่อวานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลง 5.53 จุด มาปิดที่ 1559.05 โดยมาจากแรงขายทำกำไรหลังจากไม่มีข่าวใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามา ประกอบกับหุ้น PTT และ PTTGC ปรับลดลงแรงเพราะวิตกผลกระทบจากการปฎิรูปโครงสร้างพลังงาน รวมทั้งหุ้นขนาดเล็กก็ลดความร้อนแรงลง หลังจากที่ตลาดฯได้ออกมาเตือนให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศขายสุทธิแต่ไม่มาก ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ แต่ก็ไม่เยอะเช่นกัน
ปัจจัยและกลยุทธ์ : ส่วนปัจจัยภายนอกที่ติดตามในสัปดาห์หน้า คือ การประชุมธนาคารกลางยุโรป ซึ่งมีกระแสคาดการณ์ว่า ECB อาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น QE, สถานการณ์ในยูเครน ซึ่งดูว่าความขัดแย้งกับรัสเซียจะคุกกรุ่นขึ้นอีกระลอก สำหรับในประเทศ อาจจะเป็นควันหลงหลังจบงานไทยแลนด์ โฟกัส โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามารับฟังข้อมูลบริษัทจดทะเบียนไทยก็จะกลับไปศึกษาข้อมูลและมีโอกาสที่จะเลือกลงทุนในหุ้นไทยบางบริษัท หุ้นที่อยู่ในความสนใจน่าจะเป็นพวก Mid Cap ซึ่งก่อนหน้านักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยรู้จักมากนัก เรา หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น TUF
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือการอ่อนตัวที่ต่ำกว่า 1550 จุด ควรชะลอการเก็งกำไร/ลดพอร์ตตามในกรณีที่มีหุ้นมากเหลือเงินสดอยู่น้อย เพราะดัชนีมีโอกาสอ่อนไปยัง 1520 จุดหรือต่ำกว่า ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1570, 1580 จุด สำหรับหุ้นที่คาดว่าราคามีโอกาสทำ New High เมื่อพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค คือ HMPRO, MINT, CENTEL, THREL, MDX, VGI, FORTH, DELTA, TTA,TUF, EPCO ส่วนหุ้นที่แนะนำไปและอยู่ในพื้นที่น่า Take Profit (สำหรับการลงทุนรอบสั้น) คือ PACE, PPM, GENCO
Fundamental Pick
TUF แนะนำซื้อ ราคาปิด 69 บาท เป้าหมาย 84 บาท
* บริษัทมีแผนเข้าประมูล Bumblebee ซึ่งเป็นบริษัทอาหารทะเลอันดับ 1 ของสหรัฐและแคนาดา ซึ่งการประมูลจะเริ่มต้นในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.57 ซึ่งการทำ M&A จะทำให้บริษัทมีการเติบโตได้ในอัตราที่สูงขึ้นจากเป้าหมายตามปกติที่ 10% และบรรลุเป้าหมายยอดขาย 5 พันล้านUS$ ในปี 58 (+25%YoY) สำหรับผลประกอบการ 2H57 มีแนวโน้มดีขึ้น เพราะ 3Q เป็นช่วงHigh season ของการส่งออก และอัตรากำไรของทูน่าเพิ่มขึ้น ปริมาณผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นและผลขาดทุนของ USPN น้อยลง แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 84 บาท
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
- ยูโรโซน : ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจส.ค.57 ลดลงมากกว่าคาด
* ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจยูโรโซนร่วงลงแตะ 100.6 ในเดือนส.ค. จากระดับ 102.1 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ดัชนีราคาผู้บริโภคของสเปนอ่อนตัวลงมากที่สุดในรอบ 5 ปี และจำนวนคนว่างงานในเยอรมนีปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สนับสนุนความเป็นไปได้ที่ว่าธนาคารกลางยุโรปอาจจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
* เมื่อเดือนมิ.ย. ทาง ECB ได้ประกาศชุดมาตรการกระตุ้น ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติการณ์ การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำระยะยาว (Target LTRO) และการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการซื้อขาดหลักทรัพย์ที่ใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน แต่ก็ยังไม่ช่วยนัก
- ยูเครน : กลับมามีความตึงเครียดมากขึ้น... นาโต้มีภาพถ่ายดาวเทียมระบุรัสเซียเกี่ยวข้องกับปฎิบัติการทางทหารในยูเครน
* ล่าสุดประธานาธิบดีเปโตร โปโรเชนโกของยูเครน ได้กล่าวหาว่ารัสเซียเคลื่อนกองกำลังทหารเข้าสู่ยูเครน และประธานาธิบดียูเครนได้ยกเลิกการเดินทางเยือนตุรกี อันเนื่องมาจากความตึงเครียดดังกล่าว ทั้งนี้ยูเครนและประเทศตะวันตกได้กล่าวหาว่ารัสเซียทำการบุกรุกยูเครนครั้งใหม่ ด้วยการส่งกองกำลังทหารเข้าไปในเมืองโดเนสก์ อย่างไรก็ตามรัสเซียได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
* องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ได้เผยแพร่ "ภาพถ่ายจากดาวเทียม" ที่แสดงให้เห็นว่ากองกำลังทหารรัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทางทหารในยูเครน ซึ่งภาพถ่ายนี้กลายเป็นอีกหลักฐานสำคัญ บ่งชี้ว่ากองกำลังทหารรัสเซียพร้อมอาวุธหนักกำลังเคลื่อนพลอยู่ภายในดินแดนยูเครน
+ สหรัฐ : GDP 2Q57 (ประมาณการครั้งที่ 2)เติบโตดีขึ้นเป็น 4.2% ตัวเลขภาคแรงงาน&ที่อยู่อาศัยยแข็งแกร่ง
* จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 23 ส.ค. ลดลง 1,000ราย มาอยู่ที่ 298,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 300,000 ราย
* ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/57 ขยายตัว 4.2% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งแรกที่ขยายตัว 4%
* ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนก.ค.ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.3% ที่ระดับ105.9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2556
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับฐานช่วงสั้น
* ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,079.57 จุด ลดลง 42.44 จุด หรือ -0.25% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,557.69 จุด ลดลง 11.93 จุด หรือ -0.26% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,996.74 จุดลดลง 3.38 จุด หรือ -0.17%...ปัจจัยหลักที่กดดัน คือ การขายทำกำไร และความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน รวมทั้งมีประเด็นว่าเจพีมอร์แกน เชส แอนด์โค และธนาคารอีก 4 แห่งของสหรัฐได้ถูกโจรกรรมข้อมูล ขณะที่ของสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐ (FBI) กำลังดำเนินการสืบสวนในเรื่องดังกล่าว
+/• สัญญาน้ำมันดิบ : WTI ปรับขึ้น แต่BRENT อ่อนเล็กน้อย
* สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 67เซนต์ ปิดที่ 94.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 26 เซนต์ ปิดที่ 102.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้นักลงทุนกำลังติดตามสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างใกล้ชิด
+ สัญญาทองคำ COMEX : ปรับขึ้นหลังความเสี่ยงในยูเครนสูงขึ้น
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 7 ดอลลาร์หรือ 0.55% ปิดที่ 1,290.4 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยหนุนราคาทองคำ คือ สถานการณ์ในยูเครนที่ตึงเครียดมากขึ้น
ปัจจัยในประเทศ
* การปรับอัตราภาษีและลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไม่กระทบราคาหน้าโรงกลั่น แต่ยังมี Overhang เรื่องการปฎิรูปโครงสร้างพลังงาน ... กลุ่มโรงไฟฟ้า(EGCO, RATCH) มีความเสี่ยงต่ำกว่า และจ่ายปันผลดี ให้ Yield ประมาณ 4% ต่อปี
* คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาปรับโครงสร้างราคาน้ำมันตามนโยบายคสช. ที่ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น โดยปรับอัตราจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและเงินชดเชยใหม่ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเบนซินและแก๊สโซฮอล ลดลงแต่ E85 ราคาคงเดิม ส่วนน้ำมันดีเซล ยังคงรักษาระดับราคาไว้ไม่เกิน 30 บาท/ลิตร เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ทั้งนี้อัตราภาษีและอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันใหม่นี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.57 เป็นต้นไป
* การปรับอัตราการจัดเก็บภาษีฯครั้งนี้ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลง 1,109 ล้านบาท/เดือน จาก 3,557 ล้านบาท/เดือน เป็น 2,448 ล้านบาท/เดือน
* ความเห็น Retail Research DBS : การปรับอัตราภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล อัตราการจัดส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไม่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ซึ่งยังคงเป็นไปตามกลไกตลาดที่อ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ ส่วนราคาหุ้น PTT, PTTGC ได้ปรับลดลงแรงเมื่อวานนี้คาดว่าจะมาจากความวิตกกังวลเรื่องการปฎิรูปโครงสร้างพลังงาน ที่อาจทำให้ PTT สูญเสียรายได้บางส่วน และทำให้ PTTGC ต้องซื้อวัตถุดิบก๊าซ LPG จาก PTT ในราคาที่สูงขึ้น เราให้น้ำหนักการลงทุน Neutral ในกลุ่มพลังงาน โดยในช่วงนี้เบนน้ำหนักการลงทุนไปยังกลุ่มโรงไฟฟ้า (EGCO, RATCH) ซึ่งธุรกิจมีความมั่นคงสูง และจ่ายปันผลดี
# EGCO มีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศฟิลิปปินส์ (630 MW) 41% เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรใน 2H57 เป็นต้นไป และกำลังพิจารณาเข้าประมูลซื้อโรงไฟฟ้าอีก นอกจากนั้น EGCO มีโอกาสที่จะได้รับการต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้า REGCO (ทำรายได้ประมาณ 10%) คาดการณ์ Dividend Yield ประมาณ 4%ต่อปี
# RATCH มีการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ดี และเติบโตจากโรงไฟฟ้าใหม่ๆเช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เขาค้อ 33 MW จะเริ่มเปิดดำเนินการในปลายปีนี้ มีโรงไฟฟ้า SPP#142 MW ที่เปิดดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 57 โรงไฟฟ้าชีวมวล 3.96 MW ที่เริ่มเปิดดำเนินการกลางปี 57 นอกจากนั้นในปี 58 จะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า SPP#2 ขนาด 42 MW เริ่มดำเนินการต้นปี 58 และโรงไฟฟ้าหงสาเฟส 1 ที่บริษัทถือหุ้น 40% กำลังการผลิต 751 MW ซึ่งจะเริ่มเปิดดำเนินการในช่วงกลางปี 58 คาดการณ์ Dividend Yield ประมาณ 4% ต่อปี
* สำหรับหุ้นพลังงานในเครือปตท. (คือ PTT, PTTGC, IRPC, TOP, BCP) ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการปฎิรูปโครงสร้างพลังงานนั้น เรามองว่า PTTEP จะได้รับผลกระทบจำกัดเพราะการกำหนดราคาขายและต้นทุนเป็นไปตามราคาตลาด
* ส่วน PTTGC อาจต้องซื้อวัตถุดิบ LPG (คิดเป็น 20% ของวัตถุดิบที่ใช้) ในราคาที่สูงขึ้น ด้านPTT มีประเด็นเรื่องการโอนท่อก๊าซคืนให้รัฐ และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือที่อาจจะต่ำลงรวมถึงถ้ามีการปรับลดค่าการตลาดก็จะกดดันกำไรให้น้อยลงด้วย
* สำหรับ BCP, IRPC, TOP มีความเสี่ยงในกรณีถ้ามีการปรับลด Import Parity Price(ส่วนประกอบหลักคือ อัตราค่าขนส่ง และค่าปรับคุณภาพน้ำมัน) ซึ่งปัจจุบันโรงกลั่นกำหนดราคาขายน้ำมันหน้าโรงกลั่นโดยบวก Import Parity เข้าไปในราคาด้วย เพื่อให้ราคาหน้าโรงกลั่นสอดคล้องกับในต่างประเทศ แต่ถ้าลดหรือตัดออกก็จะทำให้ราคาขายลดลง อย่างไรก็ตามคาดว่าการยกเลิก Import Parity Price จะเกิดขึ้นยาก เพราะมีโรงกลั่นอีก 2 แห่งที่ไม่ได้เป็นของรัฐ คือ ESSO และ SPRC ซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 20% ของกำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศไทย ถ้ามีการยกเลิก Import Parity Price อาจทำให้ทั้งสองโรงกลั่นนี้ส่งน้ำมันออกไปขายต่างประเทศซึ่งได้ราคาดีกว่าแทน ทำให้ไทยมีความเสี่ยงเรื่องน้ำมันตึงตัว แต่ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะมีการลด Import Parity Price ลงในบางส่วนหรือไม่
+ BLAND : เดินหน้าขายอิมแพคเข้า REITใน 4Q57 นี้...แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 2.83บาท
* BLAND จะขายกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็คโกรทใน 4Q57ขนาดกองทุนประมาณ 19.2 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าเรื่องนี้จะเป็น Catalyst ที่ดีกับราคาหุ้นเพราะจะมีการบันทึกกำไรก้อนใหญ่ 2.8-3.0 พันล้านบาทเข้ามาใน 4Q57 นอกจากนั้นการซื้อหุ้นคืน (ไม่เกิน 1.2 พันล้านหุ้น วงเงินลงทุนไม่เกิน 3 พันล้านบาทในช่วง 25 ส.ค.57-24 ก.พ.58)ยังช่วยให้ราคาหุ้นมีความเสี่ยงขาลงจำกัด
* ขยายการลงทุนต่อเนื่อง & มี Hidden Value ในสินทรัพย์สูง บริษัทมีแผนนำเงินขายกองทรัสต์ไปใช้ประโยชน์ คือ การขยายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการสร้างสินทรัพย์ของอิมแพ็คเพิ่มในอนาคต การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ตลอดจนอาจจะมีการซื้อหุ้นคืน บริษัทมีที่ดินเปล่าจำนวนมากที่คาดว่าราคาตลาดในปัจจุบันจะปรับตัวขึ้นสูง เช่น กรุงเทพกรีฑา และแจ้งวัฒนะ เป็นต้น แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 2.83 บาท ประเมินด้วย P/BV ปี 58-59 ที่ 1.2 เท่า
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]