- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 07 December 2017 16:37
- Hits: 1558
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็กในกลุ่ม Domestic Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET แกว่งตัว Sideways Down ตามคาดจากปัจจัยความไม่แน่นอนจากฝั่งต่างประเทศหลายประเด็นที่ยังกดดัน มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 6.5 หมื่นลบ.เนื่องจาก GULF เริ่มซื้อขายวันแรก นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องหนาแน่น 3,329 พันลบ. (แต่พลิกมา Net Long ใน Index Futures ถึง 9,411 สัญญา) ขณะที่สถาบันในประเทศยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 3,240 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะยังแกว่งตัว Sideways Down ในกรอบ 1,685-1,700 จุดโดยหุ้นกลุ่มพลังงานคาดว่าจะถ่วงตลาดหลังราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนปรับลงเกือบ 3% ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามความคืบหน้าเรื่องการขยายเพดานหนี้ก่อนเส้นตาย 8 ธ.ค.นี้เพื่อเลี่ยงการปิดหน่วยงานราชการของฝั่งสหรัฐฯและการรวมร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของทั้ง 2 สภา เราเชื่อว่าระยะสั้นหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดและเป็นเป้าในการถูกเก็งกำไร
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็กในกลุ่ม Domestic Play
หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. : BBL, CMO, EPG, MINT, ROBINS
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$748ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกไต้หวัน US$349ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$102ล้าน ไม่มีประเทศใดที่มีเงินทุนไหลเข้า แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคก่อนการประชุม Fed สัปดาห์หน้าซึ่งตลาดคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
กลยุทธ์วันนี้ >> เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็กในกลุ่ม Domestic Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET แกว่งตัว Sideways Down ตามคาดจากปัจจัยความไม่แน่นอนจากฝั่งต่างประเทศหลายประเด็นที่ยังกดดัน มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 6.5 หมื่นลบ.เนื่องจาก GULF เริ่มซื้อขายวันแรก นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องหนาแน่น 3,329 พันลบ. (แต่พลิกมา Net Long ใน Index Futures ถึง 9,411 สัญญา) ขณะที่สถาบันในประเทศยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 3,240 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะยังแกว่งตัว Sideways Down ในกรอบ 1,685-1,700 จุดโดยหุ้นกลุ่มพลังงานคาดว่าจะถ่วงตลาดหลังราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนปรับลงเกือบ 3% ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามความคืบหน้าเรื่องการขยายเพดานหนี้ก่อนเส้นตาย 8 ธ.ค.นี้เพื่อเลี่ยงการปิดหน่วยงานราชการของฝั่งสหรัฐฯและการรวมร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของทั้ง 2 สภา เราเชื่อว่าระยะสั้นหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดและเป็นเป้าในการถูกเก็งกำไร
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็กในกลุ่ม Domestic Play
หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. : BBL, CMO, EPG, MINT, ROBINS
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$748ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกไต้หวัน US$349ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$102ล้าน ไม่มีประเทศใดที่มีเงินทุนไหลเข้า แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคก่อนการประชุม Fed สัปดาห์หน้าซึ่งตลาดคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> CMO <<
เรายังมั่นใจในการฟื้นตัวของผลประกอบการ 4Q17 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิราว 40 ลบ. ซึ่งจะหนุนให้ทั้งปีนี้กลับมามีกำไร 35 ลบ. พลิกจากขาดทุนสูง 41 ลบ. ในปีก่อน
แรงหนุนมาจากการทยอยรับรู้ Backlog ที่มีกว่า 500 ลบ. มากสุดในรอบ 7 ไตรมาส ที่ต่างจากปีก่อนชัดเจนคือ ลานเบียร์และ countdown โดยเฉพาะ countdown ที่มีมูลค่าสูงและมาร์จิ้นดี ซึ่งได้มาแล้ว 8 งาน งานใหญ่สุดคือ เมกะบางนา
PE2018 ถูกเพียง 12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 17 เท่า และปีไหนที่มีกำไรจะจ่ายปันผลสูง 6-7% แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2018 เท่ากับ 3.00 บาท
ผู้บริหารกลับมาซื้อหุ้นใน พ.ย. 17 จำนวน 125,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 2.16 บาท
เรายังมั่นใจในการฟื้นตัวของผลประกอบการ 4Q17 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิราว 40 ลบ. ซึ่งจะหนุนให้ทั้งปีนี้กลับมามีกำไร 35 ลบ. พลิกจากขาดทุนสูง 41 ลบ. ในปีก่อน
แรงหนุนมาจากการทยอยรับรู้ Backlog ที่มีกว่า 500 ลบ. มากสุดในรอบ 7 ไตรมาส ที่ต่างจากปีก่อนชัดเจนคือ ลานเบียร์และ countdown โดยเฉพาะ countdown ที่มีมูลค่าสูงและมาร์จิ้นดี ซึ่งได้มาแล้ว 8 งาน งานใหญ่สุดคือ เมกะบางนา
PE2018 ถูกเพียง 12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 17 เท่า และปีไหนที่มีกำไรจะจ่ายปันผลสูง 6-7% แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2018 เท่ากับ 3.00 บาท
ผู้บริหารกลับมาซื้อหุ้นใน พ.ย. 17 จำนวน 125,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 2.16 บาท
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) สถิติบ่งชี้ว่าเงินไหลออกแต่ SET มักขึ้นใน ธ.ค. ข้อมูลอดีต 10 ปีย้อนหลังบ่งชี้ว่า ต่างชาติขายหุ้นมากสุดใน พ.ย. และยังขายต่อเนื่องใน ธ.ค.-ม.ค. ก่อนจะกลับมาซื้อใน ก.พ.-เม.ย. ตรงข้ามกับสถาบันในประเทศที่มียอดซื้อสุทธิใน 3 เดือนสุดท้ายของปี จากเงิน LTF/RMF ซึ่งทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของ SET ใน ธ.ค. เป็นบวก 1.7% M-M เราคาด SET เดือนนี้จะปิดบวกได้ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย โดยคาดมีเม็ดเงินลงทุนใน LTF/RMF อีกไม่น้อยกว่า 2 หมื่นลบ. เพราะ 11M17 มียอดซื้อเพียง 4.4 หมื่นลบ. น้อยกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาที่มียอดซื้อ 8-9 หมื่นลบ.
(0) THG เข้าซื้อซื้อขายวันแรก ราคา IPO 38 บาท จำนวน 85 ล้านหุ้น เรามอง THG กำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตครั้งใหญ่ คาดกำไรสุทธิปี 2018-2020 โตเฉลี่ย 47.5% ต่อปี (CAGR) ได้รับอานิสงส์จากความต้องการบริการทางการแพทย์ที่ยังเป็นขาขึ้น แรงหนุนจากธุรกิจรับจ้างเหมาบริหารทางการแพทย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนโครงการใหม่ๆที่จะทะยอยแล้วเสร็จ ซึ่งเรามองว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีและเป็นประโยชน์ต่อ THG ในแง่ของ Capacity ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ประเมินราคาเหมาะสมปี 2018 ได้เท่ากับ 47 บาท (FSS เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ THG)
(+) TK เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อจากเดิมขาย จาก 1. คาดการณ์กำไร 4Q17 จะดีที่สุดในปี และดีที่สุดในรอบ 19 ไตรมาส ที่ 171 ลบ. +29% Q-Q และ +18% Y-Y ตาม High season ของการปล่อยสินเชื่อ 2. เราปรับคาดการณ์กำไรปี 2017 ขึ้น 5% อยู่ที่ 528 ลบ. +23% Y-Y และคาดการณ์กำไรปี 2018 ที่ 649 ลบ. +23% Y-Y โดยคาดว่าเศรษฐกิจที่เป็นบวกจากภาคการส่งออก ราคาพืชผลทางการเกษตร และหนี้ครัวเรือนที่ผ่อนคลายลงจะส่งผลต่อกำลังซื้อรถจักรยานยนต์ต่อเนื่องในปีหน้า 3. ภายหลังการปรับประมาณการ เราคาดว่าจะเห็น ROE ปีหน้าขึ้นไปอยู่ที่ 12.8% ดีที่สุดในรอบ 6 ปี และ 4. คุณภาพสินเชื่อที่ดีรองรับมาตรฐาน IFRS9 และ D/E ต่ำ ปรับมาใช้ราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 19.50 บาท
(-) TPCH เราปรับประมาณการกำไรสุทธิและกำไรปกติปี 2017 ลง 27% และ 11% จากกำไรสุทธิ 9M17 ที่ต่ำกว่าคาด, การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเงินลงทุน BE เต็มจำนวน, ต้นทุนค่าจัดการโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น, และการ COD โรงไฟฟ้า SGP ที่ล่าช้าไปเป็นต้น 1Q18 ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ทรงตัว Y-Y ส่วนกำไรปกติคาดโต 29% Y-Y และปรับประมาณการปี 2018-2019 ลง 12-15% แต่กำไรปกติยังโตสูง 49% Y-Y และ 46% Y-Y ตามลำดับ ราคาหุ้นที่ Underperform สะท้อนกำไรสุทธิ 9M17 ที่น่าผิดหวังไปมากแล้ว ขณะที่ Upside เปิดกว้างกว่า 38% เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 20 บาท จึงนะนำซื้อลงทุนระยะยาว
(+) MBAX เรามองราคาปัจจุบันมี Downside จำกัดมาก เพราะคิดเป็น PE2018 เพียง 11 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15 เท่า และให้ปันผลสูงถึง 8% ต่อปี โดยคาดว่าผลประกอบการของ MBAX ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q17 จากคำสั่งซื้อของลูกค้าในสหรัฐฯที่เร่งตัวขึ้น และแรงกดดันจากเงินบาทแข็งและการเพิ่มขึ้นของ LDPE ที่ผ่อนคลายลง ส่วนปีหน้า คาดกำไรสุทธิโตต่อเนื่องอีก 18% Y-Y จากปีนี้ที่คาดโต 20% Y-Y จากตลาดสหรัฐฯที่โตตาม GDP และการขยายตลาดใหม่ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ที่มีการเติบโตสูง รวมถึงการขยายกำลังการผลิตเพื่อลดปัญหาคอขวด ยังแนะนำซื้อในฐานะหุ้นปันผลสูงสม่ำเสมอ ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท
(0) สถิติบ่งชี้ว่าเงินไหลออกแต่ SET มักขึ้นใน ธ.ค. ข้อมูลอดีต 10 ปีย้อนหลังบ่งชี้ว่า ต่างชาติขายหุ้นมากสุดใน พ.ย. และยังขายต่อเนื่องใน ธ.ค.-ม.ค. ก่อนจะกลับมาซื้อใน ก.พ.-เม.ย. ตรงข้ามกับสถาบันในประเทศที่มียอดซื้อสุทธิใน 3 เดือนสุดท้ายของปี จากเงิน LTF/RMF ซึ่งทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของ SET ใน ธ.ค. เป็นบวก 1.7% M-M เราคาด SET เดือนนี้จะปิดบวกได้ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย โดยคาดมีเม็ดเงินลงทุนใน LTF/RMF อีกไม่น้อยกว่า 2 หมื่นลบ. เพราะ 11M17 มียอดซื้อเพียง 4.4 หมื่นลบ. น้อยกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาที่มียอดซื้อ 8-9 หมื่นลบ.
(0) THG เข้าซื้อซื้อขายวันแรก ราคา IPO 38 บาท จำนวน 85 ล้านหุ้น เรามอง THG กำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตครั้งใหญ่ คาดกำไรสุทธิปี 2018-2020 โตเฉลี่ย 47.5% ต่อปี (CAGR) ได้รับอานิสงส์จากความต้องการบริการทางการแพทย์ที่ยังเป็นขาขึ้น แรงหนุนจากธุรกิจรับจ้างเหมาบริหารทางการแพทย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนโครงการใหม่ๆที่จะทะยอยแล้วเสร็จ ซึ่งเรามองว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีและเป็นประโยชน์ต่อ THG ในแง่ของ Capacity ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ประเมินราคาเหมาะสมปี 2018 ได้เท่ากับ 47 บาท (FSS เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ THG)
(+) TK เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อจากเดิมขาย จาก 1. คาดการณ์กำไร 4Q17 จะดีที่สุดในปี และดีที่สุดในรอบ 19 ไตรมาส ที่ 171 ลบ. +29% Q-Q และ +18% Y-Y ตาม High season ของการปล่อยสินเชื่อ 2. เราปรับคาดการณ์กำไรปี 2017 ขึ้น 5% อยู่ที่ 528 ลบ. +23% Y-Y และคาดการณ์กำไรปี 2018 ที่ 649 ลบ. +23% Y-Y โดยคาดว่าเศรษฐกิจที่เป็นบวกจากภาคการส่งออก ราคาพืชผลทางการเกษตร และหนี้ครัวเรือนที่ผ่อนคลายลงจะส่งผลต่อกำลังซื้อรถจักรยานยนต์ต่อเนื่องในปีหน้า 3. ภายหลังการปรับประมาณการ เราคาดว่าจะเห็น ROE ปีหน้าขึ้นไปอยู่ที่ 12.8% ดีที่สุดในรอบ 6 ปี และ 4. คุณภาพสินเชื่อที่ดีรองรับมาตรฐาน IFRS9 และ D/E ต่ำ ปรับมาใช้ราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 19.50 บาท
(-) TPCH เราปรับประมาณการกำไรสุทธิและกำไรปกติปี 2017 ลง 27% และ 11% จากกำไรสุทธิ 9M17 ที่ต่ำกว่าคาด, การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเงินลงทุน BE เต็มจำนวน, ต้นทุนค่าจัดการโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น, และการ COD โรงไฟฟ้า SGP ที่ล่าช้าไปเป็นต้น 1Q18 ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ทรงตัว Y-Y ส่วนกำไรปกติคาดโต 29% Y-Y และปรับประมาณการปี 2018-2019 ลง 12-15% แต่กำไรปกติยังโตสูง 49% Y-Y และ 46% Y-Y ตามลำดับ ราคาหุ้นที่ Underperform สะท้อนกำไรสุทธิ 9M17 ที่น่าผิดหวังไปมากแล้ว ขณะที่ Upside เปิดกว้างกว่า 38% เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 20 บาท จึงนะนำซื้อลงทุนระยะยาว
(+) MBAX เรามองราคาปัจจุบันมี Downside จำกัดมาก เพราะคิดเป็น PE2018 เพียง 11 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15 เท่า และให้ปันผลสูงถึง 8% ต่อปี โดยคาดว่าผลประกอบการของ MBAX ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q17 จากคำสั่งซื้อของลูกค้าในสหรัฐฯที่เร่งตัวขึ้น และแรงกดดันจากเงินบาทแข็งและการเพิ่มขึ้นของ LDPE ที่ผ่อนคลายลง ส่วนปีหน้า คาดกำไรสุทธิโตต่อเนื่องอีก 18% Y-Y จากปีนี้ที่คาดโต 20% Y-Y จากตลาดสหรัฐฯที่โตตาม GDP และการขยายตลาดใหม่ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ที่มีการเติบโตสูง รวมถึงการขยายกำลังการผลิตเพื่อลดปัญหาคอขวด ยังแนะนำซื้อในฐานะหุ้นปันผลสูงสม่ำเสมอ ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
7 ธ.ค.- ไทย: THG เข้าซื้อขายวันแรก ราคา IPO 38 บาท, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)
- ยูโรโซน: 3Q17GDP ครั้งสุดท้าย ตลาดคาด +2.5% Y-Y
- สหรัฐฯ: ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
8 ธ.ค.- ญี่ปุ่น: 3Q17GDP ครั้งสุดท้าย
- จีน: ดุลการค้า (พ.ย.)
- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (พ.ย.)
- ไทย: HUMAN เข้าซื้อขายวันแรก ราคา IPO 4 บาท
9 ธ.ค.- จีน: อัตราเงินเฟ้อ (พ.ย.) ตลาดคาด 1.8%
12 ธ.ค.- ฟิลิปปินส์: ดุลการค้า (ต.ค.)
13 ธ.ค.- ยูโรโซน: ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (ต.ค.)
- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (พ.ย.) ตลาดคาดทรงตัวที่ 2%
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนปิดขยับลงเล็กน้อยโดยแม้มีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่มีแรงกดดันจากการร่วงลงของกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลง ขณะที่นักลงทุนเฝ้าติดตามรายละเอียดของร่างปฏิรูปภาษี
(-) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเล็กน้อยจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจากความกังวลเกี่ยวกับความสามารถการแข่งขันหากสหรัฐใช้นโยบายภาษีฉบับใหม่
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดบวกนำโดยตลาดญี่ปุ่น และ ฮ่องกงจากแรงซื้อเก็งกำไรหลังการปรับลงแรงเมื่อวาน
(0) ค่าเงินบาทเช้านี้ปรับตัวในทิศทางแข็งค่าเล็กน้อย โดยล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 32.61-32.67 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ปิดลบ 1.66 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 55.96 ดอลลาร์/บาร์เรล ดิ่งลงจากความกังวลภาวะตลาดในสหรัฐหลัง EIA ระบุตัวเลขสต๊อกน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มมากกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง ปริมาณการผลิตจากสหรัฐยังเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดบวก 1.20 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,266.10 ดอลลาร์/ออนซ์ จากความกังวลต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลางหลังสหรัฐมีคำสั่งย้ายสถานฑูตและให้การรับรองเมืองหลวงเยรูซาเลม
Contact person : Jitra Amornthum
Register : 014530 Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research
OO3260
- ยูโรโซน: 3Q17GDP ครั้งสุดท้าย ตลาดคาด +2.5% Y-Y
- สหรัฐฯ: ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
8 ธ.ค.- ญี่ปุ่น: 3Q17GDP ครั้งสุดท้าย
- จีน: ดุลการค้า (พ.ย.)
- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (พ.ย.)
- ไทย: HUMAN เข้าซื้อขายวันแรก ราคา IPO 4 บาท
9 ธ.ค.- จีน: อัตราเงินเฟ้อ (พ.ย.) ตลาดคาด 1.8%
12 ธ.ค.- ฟิลิปปินส์: ดุลการค้า (ต.ค.)
13 ธ.ค.- ยูโรโซน: ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (ต.ค.)
- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (พ.ย.) ตลาดคาดทรงตัวที่ 2%
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนปิดขยับลงเล็กน้อยโดยแม้มีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่มีแรงกดดันจากการร่วงลงของกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลง ขณะที่นักลงทุนเฝ้าติดตามรายละเอียดของร่างปฏิรูปภาษี
(-) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเล็กน้อยจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจากความกังวลเกี่ยวกับความสามารถการแข่งขันหากสหรัฐใช้นโยบายภาษีฉบับใหม่
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดบวกนำโดยตลาดญี่ปุ่น และ ฮ่องกงจากแรงซื้อเก็งกำไรหลังการปรับลงแรงเมื่อวาน
(0) ค่าเงินบาทเช้านี้ปรับตัวในทิศทางแข็งค่าเล็กน้อย โดยล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 32.61-32.67 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ปิดลบ 1.66 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 55.96 ดอลลาร์/บาร์เรล ดิ่งลงจากความกังวลภาวะตลาดในสหรัฐหลัง EIA ระบุตัวเลขสต๊อกน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มมากกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง ปริมาณการผลิตจากสหรัฐยังเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดบวก 1.20 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,266.10 ดอลลาร์/ออนซ์ จากความกังวลต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลางหลังสหรัฐมีคำสั่งย้ายสถานฑูตและให้การรับรองเมืองหลวงเยรูซาเลม
Contact person : Jitra Amornthum
Register : 014530 Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research
OO3260