WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KTBบล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily 
 
SET INDEX
1699.65 +2.26 (+0.13) // Vol. 44,069
  รอเลือกทาง คาดผันผวนภายในกรอบที่จำกัด 1690-1705
  ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนียังคงมีทิศทางแกว่งตัวผันผวนที่ยังไม่ได้เลือกทิศทางที่ชัดเจน โดยวันศุกร์ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบ (1696.46-1705.97=9.51) มีความพยายามยืน 1700 จุด แต่ก็ไม่สามารถยืนได้อย่างแข็งแรงนักโดยลงมาทำปิดที่ 1699 จุดประกอบกับ Volume ที่เบาบาง ทำให้มีมุมมองต่อดัชนีกำลังรอเลือกทาง  ที่เคลื่อนไหวอยู่ปลายของสามเหลี่ยม โดยมีแนวรับ 1690 // 1680 จุด ขณะที่แนวต้านจำกัด 1705-1710 จุด
 แนวรับ1690 // 1680
แนวต้าน 1705-1710
Technical Analyst :  พรรณนภา  เขมะสุรัตน์ // เลยทะเบียน 060110 // Tel. : 02-648-1124 // phannap.k@ktbst .co.t

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell 04/12/60

" ปรับฐานต่อ เน้นเก็งกำไรช่วงสั้น "
          ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ยังคงแกว่งในกรอบ 1680-1720 จุด ตลาดการพักฐานของดัชนีฯยังคงดำเนินต่อ เป็นผลจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา สอดรับกับข่าวบวกไปมากแล้ว กรอปกับมีวันหยุดระหว่างสัปดาห์และสัปดาห์หน้ามีวันหยุดหลายวัน อีกทั้งตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ  ทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในลักษณะสลับตัวเล่นไปยังหุ้นที่มีข่าวเชิงบวก แรงขายนักลงทุนต่างประเทศคอยกดดันตลาด  ....   การเข้ามาซื้อขายหุ้น IPO ใหญ่ 2 ตัว คือ  GULF และ THG อาจเป็นทั้งดึงเงินออกหรือกระจายเงินเข้ามาในตลาดได้ทั้งสองทาง
          กลยุทธ์การลงทุน : เรายังมองตลาดอยู่ในช่วงของการปรับฐาน ....  กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ยังเหมือนสัปดาห์ก่อน คือ แนะนำให้ทำทั้งฝั่งขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก (เทียบกับราคาที่เหมาะสมของหุ้น โดยเลือกขายหุ้นที่มี upside เหลือน้อย)  ด้านฝั่งซื้อ ควรเลือกเป็นรายตัว เน้นเก้งกำไรช่วงสั้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่จะเล่นในลักษณะ stock rotation คือหมุนวนหุ้นเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด
          หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : TOP*, SMPC, BEM*, SENA, BR
          หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค : SGP, BLA
          * เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
 
ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
          SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1699.65 จุด ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 3.61 จุด หรือ +0.22% ตลาดเคลื่อนไหวในลักษณะบวกสลับลบ ตลาดได้รับผลบวกจากปัจจัยบวกของภาพต่างประเทศในช่วงท้ายของสัปดาห์ จากทั้ง ตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ, มาตรการปฎิรูปภาษีทรัมป์, และ การประชุม OPEC ที่ขยายเวลาในการลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ปัจจัยที่ควรติดตาม
 
ปัจจัยต่างประเทศ / ราคาน้ำมันดิบ
          ภาษีทรัมป์ผ่านที่ประชุมวุฒิสมาชิก - ที่ประชุมวุฒิสมาชิกสหรัฐฯมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีทรัมป์ (คะแนน 51:49) ประเด็นดังกล่าวได้สร้างผลบวกต่อตลาดหุ้นในภาพรวม เนื่องจากประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ตลาดติดตามมานาน และมีนักลงทุนบางส่วนคาดว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
          การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯครั้งสุดท้ายของปี - การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯจะเกิดขึ้นในวันที่ 12-13 ธ.ค. แต่เราคาดว่าประเด็นดังกล่าวจะเริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในสัปดาห์นี้ โดย ตลาดคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 1-1.25% เป็น 1.25-1.5% (โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยรวบรวมโดย Bloomberg อยู่ที่ระดับ 98.3%) ติดตามการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า ปัจจุบันคาดอยู่ที่ 2-3 ครั้ง
          ราคาน้ำมันดิบ - เรามองราคาน้ำมันดิบเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อโดยมีแรงหนุนจากที่ประชุมของกลุ่ม OPEC และรัสเซีย ในวันที่ 30 พ.ย. มีมติให้ขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิต
 
ปัจจัยในประเทศ
          ธปท. คาดการณ์ส่งออกดี - มุมมองด้านการส่งออกเป็นบวกมากขึ้น หลังจากที่ นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การส่งออกในปี 2017 มีแนวโน้มจะเติบโต 2 หลัก ซึ่งสูงกว่าที่ ธปท.ประมาณการไว้ที่ 8%
          คาดมีการเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยายเข้าที่ประชุม ครม. - คาดว่าภายในเดือนนี้จะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชันเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 123,000 ล้านบาท
          แรงซื้อหุ้น LTF-RMF - เข้าสู่ช่วงท้ายของปี โดยปกติแล้วช่วงท้ายของปีจะมีเม็ดเงินจาก LTF-RMF ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นมากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ รวมถึงการทำ window dressing ในช่วงเดือนธันวาคม
          หุ้นที่จะเข้าร่วมงาน Opportunity Day ในสัปดาห์นี้ได้แก่ PRM, AH, WPH, ARROW, RICHY, FVC, KTIS, SENA, TPCH, MBKET, COMAN, DRT, BTW, PPM, AIT, TKT, GOLD, CHEWA, BIZ, ALLA, TBSP
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
ความเห็นต่อปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ (4-8 ธ.ค. 60)
          กฎหมายภาษีของสหรัฐฯ ผ่านสภาฯ เป็นที่เรียบร้อย จากนี้ นักลงทุนจะรอดูมาตรการภาษีอื่นๆ ที่นักลงทุนให้ความสนใจอยู่เช่นกัน ผลต่อตลาดหุ้นไทย จากนี้ เป็นบวกยังไม่เห็นชัดนัก แต่ที่อาจเป็นลบ คือ เรื่องของ Fund Flow ของนักลงทุนต่างประเทศ ที่อาจไหลออกในลักษณะของการขายทำกำไร (เพราะราคาหุ้นมี upside ลดลง) หรือสลับไปพักเงินในตลาดพันธบัตร(ไทย) ....  ดอลล่าร์แข็งค่าขึ้น แต่ค่าเงินบาทปัจจุบันที่ 32.6 บาท กล่าวคือ ถึงจะอ่อนแต่ก็จะยังกระทบต่อรายได้หุ้นกลุ่มส่งออกของไทย สำหรับ 4Q-17 นี้
          สัปดาห์นี้ สภา Congress ของสหรัฐฯ จะมีการพิจารณาร่างงบประมาณ (Spending Bill)  ในวันที่ 8 ธ.ค. มีผลต่อการปิดทำการปน่วยงานภาครัฐฯ บางส่วนหากไม่มีการผ่านมตินี้
          จับตาการประชุม ครม. ที่น่าจะมีการทิ้งท้ายมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย หรือการลงทุน ก่อนสิ้นปี หากมี surprise คือมีมาตรการใหม่ๆ ที่ตลาดไม่รู้มาก่อน จึงจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก .....  นอกจากนี้ คงต้องดูนโยบายของ ครม.ชุด ใหม่ด้วย
          หุ้น IPO ขนาดใหญ่เข้าซื้อขายสัปดาห์นี้ : บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF)  ราคาจอง 45.00 บาท ซื้อขาย 6 ธ.ค. และ  บมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG)  ราคาจอง 38 บาท ซื้อขาย 7 ธ.ค. ….  หุ้นสองตัวนี้ ดึงเงินจากระบบออกไปกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท หากเข้าซื้อขายน่าจะมีการเปลี่ยนมือและสลับไปเล่นหุ้นตัวอื่นๆ หรือในทางกลับกัน เราอาจเห็นการซื้อขายกระจุกตัวอยู่ในหุ้นสองตัวนี้ตลอดทั้งสัปดาห์
          การประชุม Op. Day  ของบริษัทต่างๆ เราเชื่อว่าจะมีผลต่อราคาหุ้นนั้นๆ
          ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ยังคงแกว่งในกรอบ 1680-1720 จุด ตลาดการพักฐานของดัชนีฯยังคงดำเนินต่อ เป็นผลจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา สอดรับกับข่าวบวกไปมากแล้ว กรอปกับมีวันหยุดระหว่างสัปดาห์และสัปดาห์หน้ามีวันหยุดหลายวัน อีกทั้งตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ  ทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในลักษณะสลับตัวเล่นไปยังหุ้นที่มีข่าวเชิงบวก แรงขายนักลงทุนต่างประเทศคอยกดดันตลาด  ....   การเข้ามาซื้อขายหุ้น IPO ใหญ่ 2 ตัว คือ  GULF และ THG อาจเป็นทั้งดึงเงินออกหรือกระจายเงินเข้ามาในตลาดได้ทั้งสองทาง
          กลยุทธ์การลงทุน : เรายังมองตลาดอยู่ในช่วงของการปรับฐาน ....  กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ยังเหมือนสัปดาห์ก่อน คือ แนะนำให้ทำทั้งฝั่งขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก (เทียบกับราคาที่เหมาะสมของหุ้น โดยเลือกขายหุ้นที่มี upside เหลือน้อย)  ด้านฝั่งซื้อ ควรเลือกเป็นรายตัว เน้นเก้งกำไรช่วงสั้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่จะเล่นในลักษณะ stock rotation คือหมุนวนหุ้นเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์  #
          พิจารณาข้อมูล NVDR Trading หุ้นที่ปริมาณซื้อขายสูง มีทั้งหุ้นที่ถูกคาดว่าจะมีแรงซื้อ และถูกขาย
          หุ้นคาดจะมีแรงซื้อ : PTT, PTTGC, TOP, GPSC
          หุ้นเสี่ยง : IRPC, AOT, SCB
          หุ้นในกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี เรามองราคาน้ำมันดิบ จะมีเสถียรภาพมากขึ้น  คงต้องเลือกลงทุนเป็นรายตัว เราให้ความสนใจกับ กำไร 4Q ว่ากลุ่มที่จะดี คือ หุ้นโรงกลั่นน้ำมัน ที่ค่าการกลับยังอยู่ในระดับสูง $6-7 เหรียญ และได้ประโยชน์จากกำไร  stock น้ำมัน ตัวหลักๆ คือ TOP และหุ้น PTTGC ที่ได้ประโยชน์ทั้งส่วนของโรงกลั่นน้ำมันและ spread ของ ปิโตรเคมี ที่ยังดีอยู่
          หุ้นในกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจกลุ่มหนึ่ง นอกเหนือหุ้นธนาคาร ที่เราเลือกแนะนำเพียงบางตัว เช่น KKP  จะเป็นหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัย ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ และ backlog หรืออยู่ในช่วงของการรับรู้รายได้ เช่น SPALI, RICHY, LALIN
          หุ้นที่ให้ผลตอบแทนด้านเงินปันผลในระดับสูง  เกิน 5% เช่น ASP , AIT, INTUCH
          หุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่มีความน่าสนใจในเชิงของผลประกอบการดี หรือราคาหุ้นอ่อนตัวลงมามาก  อาทิ IHL, JMT, ERW, M
Stock Picks of The Week   04-08 December 2017
TOP :
          ราคาปิด 93.25 บาท ราคาเหมาะสม 96.47 บาท
          จากการประชุมกลุ่ม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. ที่มีมติขยายเวลาในการลดกำลังการผลิตจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลบวกในเชิง sentiment ต่อ TOP อีกทั้ง ค่าการกลั่นน้ำมัน เฉลี่ยไตรมาสนี้ อยู่ที่ราว $6.7 เหรียญ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของไตรมาสที่ 3 ที่ $7.8 แต่ราคาน้ำมันดิบ (Dubai) ปรับขึ้นมา $8 เหรียญ ทำให้ผลการดำเนินงาน TOP น่าจะยังมีกำไรที่ดีอยู่
          Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 20,189 ล้านบาท (-5% YoY) และปี 2018 ที่ 19,070 ล้านบาท (-6% YoY) แต่ในเชิงกลยุทธเรามองว่าตลาดจะมีการปรับประมาณการขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบสามารถยืนตัวเหนือ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ จากการปรับเพิ่ม stock gain
          ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 96.47 บาท
SMPC :
          ราคาปิด 14.00 บาท ราคาเหมาะสม 15.00 บาท
          จากมติการปรับมาตฐานภาษีสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า (เงินบาทอ่อน) จะเป็นบวกต่อ SMPC ซึ่งมีสัดส่วนจากเงินสกุลดอลลาร์ราว 80% นอกจากนี้ SMPC ยังรายงานผลประกอบการช่วง 3Q17 ออกมาดีที่ 157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% YoY และ 53% QoQ โดยหากเปรียบเทียบเป็นกำไรปกตินับเป็นสถิติสูงสุดใหม่ด้วย
          KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 502 ล้านบาท (-8% YoY) และปี 2018 ที่ 573 ล้านบาท (+14% YoY) เติบโตได้ดีในปี 2018 จากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น
          ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 15.00 บาท
Weekly Portfolio      04-08 December 2017
หุ้น              เหตุผล
TOP*(ราคาปิด 93.25)  จากการประชุมกลุ่ม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. ที่มีมติขยายเวลาในการลดกำลังการผลิตจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลบวกในเชิง sentiment ต่อ TOP อีกทั้ง ค่าการกลั่นน้ำมัน เฉลี่ยไตรมาสนี้ อยู่ที่ราว $6.7 เหรียญ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของไตรมาสที่ 3 ที่ $7.8 แต่ราคาน้ำมันดิบ (Dubai) ปรับขึ้นมา $8 เหรียญ ทำให้ผลการดำเนินงาน TOP น่าจะยังมีกำไรที่ดีอยู่ .... Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 20,189 ล้านบาท (-5% YoY) และปี 2018 ที่ 19,070 ล้านบาท (-6% YoY) แต่ในเชิงกลยุทธเรามองว่าตลาดจะมีการปรับประมาณการขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบสามารถยืนตัวเหนือ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ จากการปรับเพิ่ม stock gain .... (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 96.93 บาท)
SMPC(ราคาปิด 14.00)  จากมติการปรับมาตฐานภาษีสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า (เงินบาทอ่อน) จะเป็นบวกต่อ SMPC ซึ่งมีสัดส่วนจากเงินสกุลดอลลาร์ราว 80% นอกจากนี้ SMPC ยังรายงานผลประกอบการช่วง 3Q17 ออกมาดีที่ 157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% YoY และ 53% QoQ โดยหากเปรียบเทียบเป็นกำไรปกตินับเป็นสถิติสูงสุดใหม่ด้วย .... KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 502 ล้านบาท (-8% YoY) และปี 2018 ที่ 573 ล้านบาท (+14% YoY) เติบโตได้ดีในปี 2018 จากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น ....  (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 15.00 บาท)
BEM*(ราคาปิด 7.95)   จากการเก็งมติ ครม. ว่าจะมีการนำโครงการโครงสร้างพื้นฐาน อย่างรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน มูลค่า 123,000 ล้านบาท เข้าที่ประชุม ครม. ภายในเดือนนี้ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีลักษณะเป็น PPP จึงมองว่า BEM จะได้รับผลบวกในเชิง sentiment ต่อประเด็นดังกล่าว .... ผลประกอบการช่วง 3Q17 ออกมาทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 940 ล้านบาท (+16% YoY, +30% QoQ) จากการเติบโตของทั้งธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้าจากการเปิดจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีม่วง …. Bloomberg คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 3,218 ล้านบาท (+24% YoY) และเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 3,716 ล้านบาท (+15% YoY) .... (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 8.90 บาท)
SENA(ราคาปิด 3.88)   SENA มีความน่าสนใจด้านผลประกอบการช่วง 4Q17 ที่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้โดดเด่น จากยอด Backlog รอโอนที่สูง โดยเฉพาะจากโครงการ Niche Pride เพชรบุรี ที่มีมูลค่าโครงการ 2,382 ล้านบาท .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 780 ล้านบาท (+2% YoY) และปี 2018 ที่ 793 ล้านบาท (+2% YoY) โดยเรามองว่า SENA มีจุดเด่นที่การคาดการณ์ dividend yield ปี 2017 ที่ระดับสูงที่ประมาณ 6-7% .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 4.70 บาท)
BR(ราคาปิด 7.75)   เรามองว่า BR จะได้รับผลบวกจากภาคบริโภคที่ฟื้นตัวในช่วงปลายปี อีกทั้ง BR ยังมีการรับรายได้บางส่วนในสกุลเงินต่างประเทศ การคาดการณ์ค่าเงินบาทอ่อนค่าจะส่งผลบวกต่อ BR อีกทั้ง BR ยังรายงานผลประกอบการช่วง 3Q17 ออกมาดีที่155 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126% YoY และเพิ่มขึ้น 12% QoQ  …. KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 477 ล้านบาท (+52% YoY) และปี 2018 ที่ 568 ล้านบาท (+19% YoY) …. (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 9.30 บาท)
         
Analyst :
          Mongkol Puangpetra
          +662 648 1123
          [email protected]
          Nontapat Rushtasomboon
          +662 648 1127
          [email protected]
OO3175

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!