WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KTBบล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily 

SET INDEX
  1695.67 -0.17 (-0.01) // Vol. 46,527
  ระยะสั้นมีโอกาสฟื้นตัว 
  กรอบการเคลื่อนไหว 1689-1705
  ดัชนียังคงเดินหน้าปรับตัวลงต่อ ทำ Low 1687 จุด ขณะเดียวกันมีจังหวะของการดีดกลับ ที่ยังไม่มีกำลังมากพอ ทำได้ดีสุดที่ 1699 จุด ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาปิดสูงกว่าเปิดที่ 1695 จุด ซึ่งถือว่ายังเป็นสัญญาณที่ดี บวกกับดัชนียังคงเคลื่อนไหวภายในกรอบสามเหลี่ยม ที่มีฐานรับสำคัญ 1685 // 1680 จุด ที่คงต้องลุ้นยืนให้อยู่ ขณะเดียวกันมีสัญญาณในเชิงบวก(Bullish Divergence)ในภาพรายชม. ทำให้มีโอกาสดีดกลับ ที่คงต้องอาศัย Volume มาพอสมควร ในการกลับขึ้นไป 1700 จุดอีกครั้ง
แนวรับ 1689-1683  // 1673
แนวต้าน 1700-1705// 1710
 
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell 

" รอปัจจัยบวกใหม่ ติดตามมติ ครม. ในวันนี้ "
          ทิศทางตลาดหุ้นไทย : คาดดัชนียังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ และมีโอกาสปรับตัวลงเล็กน้อยจากวันก่อน เนื่องจากนักลงทุนยังรอปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระทบตลาด .... ปัจจัยต่างประเทศเนื่องจากนักลงทุนยังคงรอปัจจัยต่างๆที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ เช่น การพิจารณาแผนปฏิรูปภาษีทรัมป์ในวันพฤหัส, การประชุม OPEC ในวันพฤหัส, และ การประกาศตัวเลข GDP สหรัฐฯในวันพรุ่งนี้ ….  ปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามมติที่ประชุม ครม. สัญจรในภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าโครงการโครงสร้างพื้นฐานในภาคใต้ที่อยู่ใน pipeline ที่ประมาณ 62,000 ล้านบาท
          กลยุทธ์การลงทุน : ด้วยภาพตลาดที่อยู่ในช่วงรอปัจจัยบวกใหม่ๆ จึงมองว่าตลาดในวันนี้มีโอกาสอ่อนตัวลงจากวันก่อนเล็กน้อย และมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง  .... กลยุทธ์การลงทุน  เรายังแนะให้เข้าลงทุนในลักษณะ selective buy เน้นหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคจากช่วง Black Friday ที่ผ่านมา อาทิ KTC, MINT, ROBINS, JMART, COM7  กลุ่มรับเหมาฯที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจากมติการประชุม ครม. สัญจรในวันนี้ อาทิ CK, ITD, STEC, UNIQ, PYLON, SEAFCO หรือหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวในกลุ่มอื่นๆ
          หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ประจำวัน : สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ KTC, STEC, AOT, JMART
          หุ้นแนะนำทางเทคนิค :  SAWAD, TOP, RCL
          * เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
 
บทวิเคราะห์และความเห็นข่าวสำคัญ
(+) AOT : คาดจำนวนผู้โดยสารปี 2018 จะมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น
(+) BJC : SSSG ขยายตัวดี ปรับกำไรปี 2018 เพิ่มขึ้น
(0) RJH : คาดกำไรสุทธิ 4Q17 เติบโต YoY แต่อ่อนตัว QoQ และปี 2018 เตรียมเปิดศูย์ MRI และศูนย์ล้างไต
 
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด 
          ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (27 พ.ย.) - ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,695.67 จุด ลดลง 0.17 จุด หรือ -0.01% มูลค่าการซื้อขาย 46,526.66 ล้านบาท  ตลาดหุ้นชะลอตัวบวกกับมีปริมาณการซื้อขายเบาบางกว่าที่ผ่านมา คาดเป็นผลมาจากที่ปัจจัยหลายตัวยังอยู่ระหว่างการรอผล เช่น มาตรการภาษีทรัมป์และการประชุม OPEC เป็นต้น
          ตลาดหุ้นต่างประเทศ - ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,580.78 จุด เพิ่มขึ้น 22.79 จุด หรือ +0.10% ตลาดปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อยจากหุ้นกลุ่มค่าปลีก หลังมีรายงานว่ายอดการใช้จ่ายซื้อของออนไลน์ในช่วง Black Friday ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ .... ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง -0.5% ปิดที่ 384.87 จุด จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน
          ราคาน้ำมันดิบ - สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 84 เซนต์ หรือ -1.4% ปิดที่ 58.11 ดอลลาร์/บาร์เรล  รายงานว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐพุ่งขึ้น 15% นับตั้งแต่กลางปีที่แล้ว สู่ระดับ 9.66 ล้านบาร์เรล/วัน เรามองว่าราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ซึ่งคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้อีกครั้งหลังการประชุม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. นี้
          ปัจจัยต่างประเทศ ติดตามขั้นตอนต่อไปของการร่างกฏหมายปฏิรูปภาษี,ติดตามการประกาศตัวเลข GDP สหรัฐฯในวันพรุ่งนี้ - ตลาดยังคงรอติดตามเรื่องร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯที่จะถูกส่งให้กับวุฒิสภาสหรัฐ เพื่อทำการพิจารณาในวันพฤหัสที่จะถึงนี้ หลังจากนั้นจะมีการปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายก่อนที่จะส่งต่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามรับรองให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป .... ติดตามการรายงาน GDP ช่วงไตรมาส 3 ของสหรัฐฯในวันที่ 29 พ.ย. นี้ ตลาดคาดไว้ที่ 3.3% …. ตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดี โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้นสวนทางคาดการณ์ในเดือนต.ค. โดยดีดตัวขึ้น 6.2% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 685,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2007
          ปัจจัยในประเทศ ติดตาม ครม. สัญจรในวันนี้, ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง - เรามองข้อเสนอที่ประชุม ครม. สัญจรภาคใต้ในวันนี้ จะมุ่งสู่ ประเด็นด้านมาตรการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจะมีการเสนออนุมัตพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ  รถไฟทางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ มูลค่า 7,900 ล้านบาท, Motorway หาดใหญ่-ด่านพรมแดนสะเดา มูลค่า 30,500 ล้านบาท,  รถไฟทางคู่ชุมพร- สุราษฎร์ฯ-หาดใหญ่ มูลค่า 23,400 ล้านบาท และ พัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่ …. วานนี้นักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นขายสุทธิสูงถึง 2,207 ล้านบาท รวมทั้งเดือน พ.ย. ต่างชาติมีสถานะเป็นขายสุทธิที่ 16,849 ล้านบาท
          หุ้นที่จะเข้าร่วมงาน Opportunity Day ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ได้แก่ BGRIM, TVD, CNT, WICE, ASN, SGP, CENTEL, FTE, TPIPP, THANA, S, TRC, DEMCO, LALIN, TPBI, TMILL, TSR, BJCHI, HARN, BJC, BIGC
 
Stock in Focus
หุ้น               เหตุผล
KTC(ราคาปิด 168.00)  เรามองว่าช่วง Black Friday ที่ผ่านมาของไทยได้รับผลตอบรับดีเกินคาดทั้งจากการจับจ่ายใช้สอยผ่านร้านค้าปลีกและผ่านออนไลน์ ซึ่งมองว่าผู้ใช้บัตรเครดิตจะมีสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนๆ ....  กำไรสุทธิ 3Q17 ออกมาอยู่ในระดับสูงที่ 846 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.3%YoY และ 7.6%QoQ สูงกว่าที่ตลาดคาด 17.2% .... KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 2,708 ล้านบาท (+9% YoY) และปี 2018 ที่ 3,003 ล้านบาท (+11% YoY) …. (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 135.00 บาท)
STEC(ราคาปิด 24.80)   เราเลือก STEC เป็นหุ้นแนะนำในวันนี้จากการคาดการณ์ว่าที่ประชุม ครม. วันนี้จะมีการอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐานออกมา ซึ่ง STEC เป็นหุ้น top pick สำหรับกลุ่มรับเหมาฯจากคาดการณ์อัตราการเติบโตปีหน้าที่สูงที่สุดในกลุ่มและ STEC ดำเนินรกิจเป็น pure contractor ....  Backlog ปัจจุบันของ STEC อยู่ที่ระดับราว 113,500 ล้านบาท (รวมโครงการรถไฟทางคู่ที่ประมูลแล้ว) รองรับรายได้ได้สูงถึง 5 ปี คาดกาไรจากการดาเนินงานปกติปี 2017 จะเติบโตที่ 31% และจะเติบโตได้สูงมากต่อเนื่องในปี 2018 ประมาณ 50% YoY …. (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 35.50 บาท)
AOT(ราคาปิด 58.50)    AOT รายงานผู้โดยสารช่วง 1 ต.ค. - 24 พ.ย. 2017 เติบโตแข็งแกร่งที่ 14.3% YoY โดยมองว่า AOT ยังคงสามารถเติบโตต่อเนื่องได้จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นและการปลดธงแดง ICAO ….  กำไรสุทธิ 4Q17 (ก.ค.-ก.ย.2017) คาดปรับตัวลง QoQ และ YoY จากการบันทึกค่าใช้จ่ายย้อนหลังค่าเช่าที่ราชพัสดุสนามบินสุวรรณภูมิราว 1.4 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิรวมทั้งปี 2017 (ต.ค.2016-ก.ย.2017) ยังเติบโต 5% YoY ส่วนปี 2018 (ต.ค.2017-ก.ย.2018) จะกลับมาเติบโตดี 21% Yo) …. (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 64.00 บาท)
JMART(ราคาปิด 19.40)    ด้วยกระแสการเปิดตัว iPhone X, มาตรการช็อปช่วยชาติ, และการจับจ่ายใช้สอยในช่วง Black Friday ที่สูงขึ้นมาก จึงมองว่า JMART ได้รับผลบวกจากทั้ง 3 ประเด็น ....  KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 558 ล้านบาท (+24% YoY) และปี 2018 ที่ 758 ล้านบาท (+37% YoY) จากรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้สินที่ขยายตัวสูง, ยอดขาย และราคาขายเฉลี่ยของโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้น, ผลประกอบการของ SINGER ที่จะกลับมาสูงขึ้น …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่  23.00 บาท)
Source: KTBST Research
Sector / Stock Updates
          (+) กลุ่มรับเหมาฯ  ด้านการประชุม ครม.สัญจร วันที่ 28 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอทิศทางพัฒนาภาคใต้ และ ร่างทิศทางพัฒนาภาคใต้ชายแดน เช่น 1.พัฒนาการท่องเที่ยวของภาคให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพชั้นนำของโลก 2.พัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราและปาล์มน้ำมันแห่งใหม่ของประเทศ
          จากการรวบรวมโครงการโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ภาคใต้ รวบรวมโดย KTBST พบว่ามีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 62,000 ล้านบาท ประกอบด้วย รถไฟทางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ มูลค่า 7,900 ล้านบาท, Motorway หาดใหญ่-ด่านพรมแดนสะเดา มูลค่า 30,500 ล้านบาท,  รถไฟทางคู่ชุมพร- สุราษฎร์ฯ-หาดใหญ่ มูลค่า 23,400 ล้านบาท และ พัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งเรามองว่ามติที่ประชุม ครม. สัญจรในภาคใต้วันนี้จะมีโอกาสอนุมัติโครงการดังกล่าว เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาฯขนาดใหญ่และกลุ่มงานฐานราก ได้แก่   CK, ITD, STEC, UNIQ, PYLON, SEAFCO
          (-) MINT, AAV, THAI สำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซีย (BNPB) ออกแถลงการณ์เตือนให้ประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบภูเขาไฟอากุงจำนวนราว 100,000 คนให้ทำการอพยพออกจากพื้นที่โดยทันที ขณะที่เตือนว่าภูเขาไฟอาจเกิดการปะทุขึ้นครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 54 ปี นอกจากนี้ การปะทุของภูเขาไฟอากุงยังส่งผลให้ผู้โดยสารของสายการบินต่างๆจำนวนรวม 89,000 คน ต้องติดค้างบนเกาะบาหลี เนื่องจากมีการปิดสนามบิน ทั้งนี้ มีการยกเลิกเที่ยวบินจำนวน 445 เที่ยว หลังจากเกิดควันพวยพุ่งจากการปะทุของภูเขาไฟอากุง จนทำให้ทางการอินโดนีเซียประกาศยกระดับการเตือนภัยสู่ขั้นสูงสุด
          เรามองว่าเป็น sentiment เชิงลบต่อ MINT เนื่องจาก MINT มีโรงแรมอยู่ในบาหลี 2 โรงแรม ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของบาหลี โดยห่างจากภูเขาไฟอากุงระยะทางประมาณ 76 และ 91 กิโลเมตร แต่อย่างไรก็ดี เราคาดว่า ผลกระทบค่อนข้างน้อย เพราะโรงแรมอนันตราที่บาหลีเป็นรูปแบบของการรับจ้างเข้าบริหาร ซึ่งสัดส่วนรายได้จากการรับจ้างเข้าบริหารคิดเป็นเพียง 1.5% ของรายได้ทั้งหมด ดังนั้น เรามองว่า วันนี้หากราคาหุ้นอ่อนตัวจากข่าวนี้เป็นจังหวะดีในการเข้าซื้อสะสมได้ ยังคงแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าเหมาะสมที่ 53 บาท นอกจากนี้ เรายังมองประเด็นดังกล่าวจะกระทบต่อ AAV, THAI จากเส้นทางการบินไปสู่บาหลี อย่างไรก็ตามผลกระทบดังกล่าวมีจำกัด
          (+) AOT จำนวนผู้โดยสาร 1 ต.ค.-24 พ.ย.2017 ยังเติบโตแข็งแกร่ง 14.3% YoY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานจำนวนผู้โดยสารที่ต่ำในปีก่อน จากผลกระทบการปรามปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ รวมถึงการปลดธงแดงของ ICAO ในเดือน ต.ค.2017 ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศเติบโตดีขึ้น ทั้งนี้ เราคาดจำนวนผู้โดยสารทั้งปี 2018 (ต.ค.2017-ก.ย.2018) จะเติบโตได้ดีราว 9.6% YoY ด้านกำไรสุทธิ 4Q17 (ก.ค.-ก.ย.2017) คาดปรับตัวลง QoQ และ YoY จากการบันทึกค่าใช้จ่ายย้อนหลังค่าเช่าที่ราชพัสดุสนามบินสุวรรณภูมิราว 1.4 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิรวมทั้งปี 2017 (ต.ค.2016-ก.ย.2017) ยังเติบโต 5% YoY ส่วนปี 2018 (ต.ค.2017-ก.ย.2018) จะกลับมาเติบโตดี 21% YoY เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 64 บาท โดยยังอาจมี upside เพิ่มจากการประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ของสนามบินสุวรรณภูมิที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงต้นปีหน้า
          (+) BJC SSSG ของ BIGC ใน 3Q17 ปรับตัวดีขึ้นที่ 9.2% จากติดลบ 15.2% จากการเพิ่มของยอดขายกลุ่มอาหารสด และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องใช้ในบ้าน ตลอดจนต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มจาก 18% ในไตรมาส 2Q17 มาเป็น 19% ใน 3Q17 เราคาดว่า ใน 4Q17 กำไรยังปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอย รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากมาตราการส่งเสริมจากภาครัฐ เช่น ช็อปช่วยชาติ รวมถึงการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว บริษัทยังคงขยายสาขาตามแผนที่วางไว้ โดยเปิดเป็นสาขาที่มีรูปแบบกะทัดรัดมากขึ้น และได้รับการตอบสนองที่ดี การกลับรายการภาษีอาจจะยังไม่เสร็จในปีนี้แต่เลื่อนไปปีหน้า ทำให้อัตราภาษีลดลงในปี 2018 เราคาดว่า BJC จะสามารถสร้างการเสริมประโยชน์กับ BIGC ได้ในระยะยาว เราประเมินมูลค่า โดยอิงวิธีส่วนลดกระแสเงินสด (DCF) โดยอิง WACC ที่  6.4% และ terminal growth 3%  สะท้อนธุรกิจที่ยังเติบโตในระยะยาว ได้ราคาเหมาะสมที่ 63 บาท (ปี 2018) ซึ่งใกล้เคียงกับ PER ในอดีตที่ประมาณ 39 เท่า ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 59 บาท เนื่องจากปรับประมาณกำไรปี 2018 เพิ่มขึ้น เราแนะนำ "ซื้อ"
          (0) RJH เรามีมุมมองที่เป็นกลางต่อการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ จากผลกำไรสุทธิใน 4Q17 ที่คาดว่าจะเติบโต YoY แต่อ่อนตัวลง QoQ โดย RJH จะเน้น Check up นอกสถานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากให้ margin ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามเคสสวนหัวใจที่เคยได้รับจาก ร.พ.ภัทร-ธนบุรี จะลดลงจากเดิมเนื่องจากศูนย์หัวใจที่นั่นกลับมาเปิดดำเนินการตามปกติแล้ว แต่เรามองว่ากำไรสุทธิใน 4Q17 น่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการดึงเคสกลับ แพราะมีรายได้จากการ Check up และการขึ้นค่าบริการของสำนักงานประกันสังคม มองปี 2018 กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นโปรแกรม Check up มากขึ้นอีก เนื่องจาก RJH เพิ่งเข้าไปให้บริการบริษัทในจังหวัดเพียงแค่ 5% คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเหมาะสม 35.50 บาท (วิธี DCF)
Source: KTBST Research
         
Analyst :  Mongkol Puangpetra
          License No: 001937  
          +662 648 1123
          [email protected]
          Nontapat Rushtasomboon
          License No: 081447  
          +662 648 1127
          [email protected]
OO2908

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!