- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 27 November 2017 17:12
- Hits: 1242
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
SET INDEX
1695.84 -11.54 (-0.68) // Vol. 56,520
มีโอกาสลงต่อเข้าใกล้ 1685 จุด เป็นจุดที่คาดหวังการดีดกลับ
กรอบการเคลื่อนไหว 1685-1700
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีมีทิศทางแกว่งตัว Sideway ระหว่าง 1707-1722 จุด ก่อนที่จะทิ้งตัวลงหนักหลุด 1700 จุด ในวันศุกร์ที่ผ่านมาลงทำ Low 1691 จุด ซึ่งถือว่าเปิด Gap (1695-1697)ได้สนิทพร้อมกับทำปิดที่ใกลุ้ดต่ำสุดของวันที่ 1695 จุด ส่งผลให้มีแนวโน้มของการลงต่อได้ โดยมีแนวรับ 1685-1680 จุด หากแนวดังกล่าวเอาไม่อยู่มีโอกาสที่จะลงไปทดสอบ Low เดิม (1673) แต่อย่างไรก็ตามระยะสั้นมีโอกาสดีดกลับได้เช่นกัน ให้นัยสำคัญ 1685 จุด บวกกับภาพรายชม.ค่อนข้าง Oversold
แนวรับ
1688-1680 // 1673
แนวต้าน
1700-1707 // 1710
SET INDEX
1695.84 -11.54 (-0.68) // Vol. 56,520
มีโอกาสลงต่อเข้าใกล้ 1685 จุด เป็นจุดที่คาดหวังการดีดกลับ
กรอบการเคลื่อนไหว 1685-1700
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีมีทิศทางแกว่งตัว Sideway ระหว่าง 1707-1722 จุด ก่อนที่จะทิ้งตัวลงหนักหลุด 1700 จุด ในวันศุกร์ที่ผ่านมาลงทำ Low 1691 จุด ซึ่งถือว่าเปิด Gap (1695-1697)ได้สนิทพร้อมกับทำปิดที่ใกลุ้ดต่ำสุดของวันที่ 1695 จุด ส่งผลให้มีแนวโน้มของการลงต่อได้ โดยมีแนวรับ 1685-1680 จุด หากแนวดังกล่าวเอาไม่อยู่มีโอกาสที่จะลงไปทดสอบ Low เดิม (1673) แต่อย่างไรก็ตามระยะสั้นมีโอกาสดีดกลับได้เช่นกัน ให้นัยสำคัญ 1685 จุด บวกกับภาพรายชม.ค่อนข้าง Oversold
แนวรับ
1688-1680 // 1673
แนวต้าน
1700-1707 // 1710
Technical Analyst : พรรณนภา เขมะสุรัตน์ // เลยทะเบียน 060110 // Tel. : 02-648-1124 // phannap.k@ktbst .co.th
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
"ปรับฐาน รอปัจจัยใหม่ๆ"
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ยังคงแกว่งในกรอบ 1680-1730 จุด กรอบเดียวกับที่เรามองไว้ในสัปดาห์ก่อน โดยการพักฐานของดัชนีฯยังคงดำเนินต่อ เป็นผลจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา โดยแรงขายหุ้นมีเข้ามามากเมื่อดัชนีฯแตะระดับ 1720 จุด โดยแรงขายจะมาจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก และด้วยตัวแปรของตลาดสัปดาห์นี้ มีไม่มากนักและเป็นตัวแปรเดิมๆ เป็นส่วนหนึ่งให้ตลาดขาดปัจจัยหนุน ดัชนีฯจึงเคลื่อนไปไม่ได้ไกลนัก
กลยุทธ์การลงทุน : เนื่องด้วยดัชนีฯและราคาหุ้นตัวหลักๆ ถือว่าอยู่ในระดับสูง ขาดปัจจัยใหม่ๆ .... กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เราแนะให้ทำทั้งฝั่งขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก (เทียบกับราคาที่เหมาะสมของหุ้น โดยเลือกขายหุ้นที่มี upside เหลือน้อยก่อน) ด้านฝั่งซื้อ ควรเลือกเป็นรายตัว เน้นเก้งกำไรช่วงสั้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่จะเล่นในลักษณะ stock rotation คือหมุนวนหุ้นเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : TOP*, KKP, SPALI, CENTEL, JWD*
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค : BLA*, TNR*, WORK*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
"ปรับฐาน รอปัจจัยใหม่ๆ"
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ยังคงแกว่งในกรอบ 1680-1730 จุด กรอบเดียวกับที่เรามองไว้ในสัปดาห์ก่อน โดยการพักฐานของดัชนีฯยังคงดำเนินต่อ เป็นผลจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา โดยแรงขายหุ้นมีเข้ามามากเมื่อดัชนีฯแตะระดับ 1720 จุด โดยแรงขายจะมาจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก และด้วยตัวแปรของตลาดสัปดาห์นี้ มีไม่มากนักและเป็นตัวแปรเดิมๆ เป็นส่วนหนึ่งให้ตลาดขาดปัจจัยหนุน ดัชนีฯจึงเคลื่อนไปไม่ได้ไกลนัก
กลยุทธ์การลงทุน : เนื่องด้วยดัชนีฯและราคาหุ้นตัวหลักๆ ถือว่าอยู่ในระดับสูง ขาดปัจจัยใหม่ๆ .... กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เราแนะให้ทำทั้งฝั่งขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก (เทียบกับราคาที่เหมาะสมของหุ้น โดยเลือกขายหุ้นที่มี upside เหลือน้อยก่อน) ด้านฝั่งซื้อ ควรเลือกเป็นรายตัว เน้นเก้งกำไรช่วงสั้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่จะเล่นในลักษณะ stock rotation คือหมุนวนหุ้นเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : TOP*, KKP, SPALI, CENTEL, JWD*
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค : BLA*, TNR*, WORK*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,695.84 จุด ปรับตัวลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน 13.54 จุด หรือ -0.79% ปริมาณการซื้อขายเบาบางกว่าช่วงสัปดาห์ก่อนๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการหยุดทำการของตลาดหุ้นต่างประเทศในวันขอบคุณพระเจ้า ในขณะที่ปัจจัยในประเทศยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระทบตลาด
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,695.84 จุด ปรับตัวลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน 13.54 จุด หรือ -0.79% ปริมาณการซื้อขายเบาบางกว่าช่วงสัปดาห์ก่อนๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการหยุดทำการของตลาดหุ้นต่างประเทศในวันขอบคุณพระเจ้า ในขณะที่ปัจจัยในประเทศยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระทบตลาด
ปัจจัยที่ควรติดตาม
ปัจจัยต่างประเทศ / ราคาน้ำมันดิบ
รอความคืบหน้าของมาตรการปฏิรูปภาษีทรัมป์ - ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นการปรับลดเงินได้ภาษีนิติบุคคลลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ 35% ได้ผ่านสภาผู้แทนฯของสหรัฐฯแล้ว ตลาดมีกำลังติดตามต่อว่าหลังจากนี้มติดังกล่าวจะสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาสูงฯ ไปได้หรือไม่ หรือมีการแก้ไขเนื้อหาด้วยหรือไม่ ซึ่งเราคาดว่าจะรู้ผลก่อนช่วงครัสต์มาส
รายงาน GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐฯ - จะมีการรายงาน GDP ช่วงไตรมาส 3 ของสหรัฐฯในวันที่ 29 พ.ย. นี้ ตลาดคาดไว้ที่ 3.3%
ราคาน้ำมันดิบ - ราคาน้ำมันดิบเริ่มมีการปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว 58 ดอลลาร์/บาร์เรล เรามองว่าราคาน้ำมันดิบมีเสถียรภาพมากขึ้นและมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้หลังการประชุมกลุ่ม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. นี้ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมีการขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ปัจจัยต่างประเทศ / ราคาน้ำมันดิบ
รอความคืบหน้าของมาตรการปฏิรูปภาษีทรัมป์ - ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นการปรับลดเงินได้ภาษีนิติบุคคลลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ 35% ได้ผ่านสภาผู้แทนฯของสหรัฐฯแล้ว ตลาดมีกำลังติดตามต่อว่าหลังจากนี้มติดังกล่าวจะสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาสูงฯ ไปได้หรือไม่ หรือมีการแก้ไขเนื้อหาด้วยหรือไม่ ซึ่งเราคาดว่าจะรู้ผลก่อนช่วงครัสต์มาส
รายงาน GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐฯ - จะมีการรายงาน GDP ช่วงไตรมาส 3 ของสหรัฐฯในวันที่ 29 พ.ย. นี้ ตลาดคาดไว้ที่ 3.3%
ราคาน้ำมันดิบ - ราคาน้ำมันดิบเริ่มมีการปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว 58 ดอลลาร์/บาร์เรล เรามองว่าราคาน้ำมันดิบมีเสถียรภาพมากขึ้นและมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้หลังการประชุมกลุ่ม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. นี้ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมีการขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ปัจจัยในประเทศ
คาดมีงานรับเหมาฯออกมานช่วงปลายปี, มีอัพเดทโครงการ - โดยปกติแล้วในช่วงสุดท้ายของปีจะมีการอนุมัติโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ คาดมีโอกาสที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน จะเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 123,000 ล้านบาท ช่วงที่ผ่านมา เริ่มเห็นการอัพเดทโครงการทั้งการคาดการณ์ยอดลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายแตะ 7 หมื่นล้านบาท และยังระบุว่ามีนักลงทุนกว่า 100 รายแสดงความสนใจในการเข้ามาลงทุน EEC ระยะแรก และที่ประชุมคณะกรรมการ BOI มีการอนุมัติให้ลงทุนในเขต EEC ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมไม่เกิน 10 ปี
แรงซื้อหุ้น LTF-RMF - โดยปกติช่วงไตรมาสสุดท้ายจะมีเม็ดเงินจาก LTF-RMF ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นมากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ รวมถึงการทำ window dressing ในช่วงเดือนธันวาคม
สิ้นสุดการประกาศงบ 3Q17 -การประกาศงบการเงินสำหรับช่วง 3Q17 ได้สิ้นสุดลง กำไรสุทธิของตลาด (SET) งวด 3Q17 รวบรวมโดย KTBST อยู่ที่ 2.04 แสนล้านบาท (-0.4% YoY, -4.2% QoQ) ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเติบโต +16% YoY
หุ้นที่จะเข้าร่วมงาน Opportunity Day ในสัปดาห์นี้ได้แก่ BCPG, LHK, EA, AMATAV, NDR, AMATA, TTA, BGRIM, TVD, CNT, WICE, ASN, SGP, CENTEL, FTE, TPIPP, THANA, S, TRC, DEMCO, LALIN, TPBI, TMILL, TSR, BJCHI, HARN, BJC, BIGC
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
คาดมีงานรับเหมาฯออกมานช่วงปลายปี, มีอัพเดทโครงการ - โดยปกติแล้วในช่วงสุดท้ายของปีจะมีการอนุมัติโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ คาดมีโอกาสที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน จะเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 123,000 ล้านบาท ช่วงที่ผ่านมา เริ่มเห็นการอัพเดทโครงการทั้งการคาดการณ์ยอดลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายแตะ 7 หมื่นล้านบาท และยังระบุว่ามีนักลงทุนกว่า 100 รายแสดงความสนใจในการเข้ามาลงทุน EEC ระยะแรก และที่ประชุมคณะกรรมการ BOI มีการอนุมัติให้ลงทุนในเขต EEC ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมไม่เกิน 10 ปี
แรงซื้อหุ้น LTF-RMF - โดยปกติช่วงไตรมาสสุดท้ายจะมีเม็ดเงินจาก LTF-RMF ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นมากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ รวมถึงการทำ window dressing ในช่วงเดือนธันวาคม
สิ้นสุดการประกาศงบ 3Q17 -การประกาศงบการเงินสำหรับช่วง 3Q17 ได้สิ้นสุดลง กำไรสุทธิของตลาด (SET) งวด 3Q17 รวบรวมโดย KTBST อยู่ที่ 2.04 แสนล้านบาท (-0.4% YoY, -4.2% QoQ) ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเติบโต +16% YoY
หุ้นที่จะเข้าร่วมงาน Opportunity Day ในสัปดาห์นี้ได้แก่ BCPG, LHK, EA, AMATAV, NDR, AMATA, TTA, BGRIM, TVD, CNT, WICE, ASN, SGP, CENTEL, FTE, TPIPP, THANA, S, TRC, DEMCO, LALIN, TPBI, TMILL, TSR, BJCHI, HARN, BJC, BIGC
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
ความเห็นต่อปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ (27 พ.ย. -1 ธ.ค. 60)
ตัวแปรด้านเศรษฐกิจจะมีน้อยลง เวลานี้รอดูร่างกฎหมายภาษีของสหรัฐฯ ว่าจะมีความคืบหน้าไปอย่างไร ราคาน้ำมัน รอการประชุม 30 พ.ย. หากออกมาว่ายืดเวลาการลดกำลังการผลิตที่จะสิ้นสุด มี.ค.61 ออกไป (ตามข่าวคือ ยืดจนถึงสิ้นปี '61) จะเป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบ
แรงซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดเอเซีย ยังเป็น net sell ของไทยขายน้อยลง เงินส่วนใหญ่เข้าตลาดพันธบัตร โดยการแข็งค่าของเงินบาท เป็นตัวหนุน fund flow จากต่างประเทศ แต่ถึงกระนั้น คงช่วยเพียงชะลอการขายหุ้นให้ขายช้าลงเท่านั้น
การเมือง รอดูหน้าตา ครม.ชุดใหม่ และนโยบาย ปกติการปรับ ครม.มีแนวโน้มที่ผลจะเป็นบวกมากกว่า แต่คงไม่มาก เพราะรัฐมนตรีที่เปลี่ยนส่วนใหญ่ไม่ได้มีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ
ประชุม ครม. คาดจะเร่งอนุมัติโครงการลงทุน หรือสนับสนุนการลงทุน ขณะที่มาตรการลดหย่อนภาษี อาจเข้าไม่ทัน ครม.ชุดนี้ เรามองว่า การตอบรับของนักลงทุนต่อมาตรการต่างๆ มีผลต่อราคาหุ้นมามาก upside จึงเหลือไม่มากนัก สำหรับหุ้นเหล่านี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มค้าปลีก ที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ยังคงแกว่งในกรอบ 1680-1730 จุด กรอบเดียวกับที่เรามองไว้ในสัปดาห์ก่อน โดยการพักฐานของดัชนีฯยังคงดำเนินต่อ เป็นผลจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา โดยแรงขายหุ้นมีเข้ามามากเมื่อดัชนีฯแตะระดับ 1720 จุด โดยแรงขายจะมาจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก และด้วยตัวแปรของตลาดสัปดาห์นี้ มีไม่มากนักและเป็นตัวแปรเดิมๆ เป็นส่วนหนึ่งให้ตลาดขาดปัจจัยหนุน ดัชนีฯจึงเคลื่อนไปไม่ได้ไกลนัก
กลยุทธ์การลงทุน : เนื่องด้วยดัชนีฯและราคาหุ้นตัวหลักๆ ถือว่าอยู่ในระดับสูง ขาดปัจจัยใหม่ๆ ...... กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เราแนะให้ทำทั้งฝั่งขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก (เทียบกับราคาที่เหมาะสมของหุ้น โดยเลือกขายหุ้นที่มี upside เหลือน้อยก่อน) ด้านฝั่งซื้อ ควรเลือกเป็นรายตัว เน้นเก้งกำไรช่วงสั้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่จะเล่นในลักษณะ stock rotation คือหมุนวนหุ้นเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์ #
พิจารณาข้อมูล NVDR Trading หุ้นที่ปริมาณซื้อขายสูง มีทั้งหุ้นที่ถูกคาดว่าจะมีแรงซื้อ และถูกขาย
หุ้นคาดจะมีแรงซื้อ : PTT, TOP, KBANK, BDMS, ESSO
หุ้นเสี่ยง : BBL, MINT, INTUCH
หุ้นในกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจกลุ่มหนึ่ง นอกเหนือหุ้นธนาคาร ที่เราเลือกแนะนำเพียงบางตัว เช่น KKP จะเป็นหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัย ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ และ backlog หรืออยู่ในช่วงของการรับรู้รายได้ เช่น SPALI, RICHY, LALIN
ราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดสั้นๆ WTI มีโอกาสแตะ $60 เหรียญ (ขึ้นกับผลประชุม OPEC 30 พ.ย.) เรากลับมาสนใจหุ้นที่มีโรงกลั่นน้ำมันเป็นของตัวเอง งบ 4Q น่าจะยังดีอยู่ อาทิ TOP, PTTGC, ESSO, SPRC แม้ค่าการกลั่นน้ำมันจะอ่อนตัวลง ลดลง แต่ยังคงอยู่ราวๆ $6-7 เหรียญ (ต.ค. $6.9 ; พ.ย. $6.4) ซึ่งเป็นระดับที่ยังดี และยังมีโอกาสเป็นบวกจาก กำไร stock ด้วย
Stock Picks of The Week 27 November - 01 December 2017
TOP :
ราคาปิด 92.50 บาท ราคาเหมาะสม 96.47 บาท
จากมุมมองในเชิงบวกของราคาน้ำมันดิบว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น อีกทั้งการประชุมกลุ่ม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย ส่งผลบวกในเชิง sentiment ต่อ TOP
Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 20,189 ล้านบาท (-5% YoY) และปี 2018 ที่ 19,070 ล้านบาท (-6% YoY) แต่ในเชิงกลยุทธเรามองว่าตลาดจะมีการปรับประมาณการขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบสามารถยืนตัวเหนือ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ จากการปรับเพิ่ม stovck gain
ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 96.47 บาท
KKP :
ราคาปิด 74.50 บาท ราคาเหมาะสม 84.00 บาท
เรามองว่า KKP เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มแบงก์จากผลการดำเนินงานช่วง 3Q17 ที่เติบโตโดดเด่น ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY และ 45% QoQ สูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท และได้ผลบวกจากการที่จะได้รับค่าธรรมเนียมโครงการ Thailand Future Fund โดย สคร. ระบุว่ากองทุนจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ภายในปีนี้
KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 6,022 ล้านบาท (+9% YoY) และปี 2018 ที่ 6,605 ล้านบาท (+10% YoY) ตามการขยายตัวของสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ Micro SMEs อีกทั้งบริษัทยังมีการเพิ่มช่องทางการตลาด
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 84.00 บาท
Weekly Portfolio 27 November - 01 December 2017
หุ้น เหตุผล
TOP*(ราคาปิด 92.50) จากมุมมองในเชิงบวกของราคาน้ำมันดิบว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น อีกทั้งการประชุมกลุ่ม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย ส่งผลบวกในเชิง sentiment ต่อ TOP …. Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 20,189 ล้านบาท (-5% YoY) และปี 2018 ที่ 19,070 ล้านบาท (-6% YoY) แต่ในเชิงกลยุทธเรามองว่าตลาดจะมีการปรับประมาณการขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบสามารถยืนตัวเหนือ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ จากการปรับเพิ่ม stovck gain …. (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 96.47 บาท)
KKP(ราคาปิด 74.50) เรามองว่า KKP เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มแบงก์จากผลการดำเนินงานช่วง 3Q17 ที่เติบโตโดดเด่น ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY และ 45% QoQ สูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท และได้ผลบวกจากการที่จะได้รับค่าธรรมเนียมโครงการ Thailand Future Fund โดย สคร. ระบุว่ากองทุนจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ภายในปีนี้ .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 6,022 ล้านบาท (+9% YoY) และปี 2018 ที่ 6,605 ล้านบาท (+10% YoY) ตามการขยายตัวของสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ Micro SMEs อีกทั้งบริษัทยังมีการเพิ่มช่องทางการตลาด .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 84.00 บาท)
SPALI(ราคาปิด 23.90) เรามองว่ากลุ่มอสังหาฯจะมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกครั้งหลังคาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมออกมาดีในช่วงปีหน้า เราเลือกแนะนำ SPALI เนื่องจาก ผลประกอบการช่วง 3Q17 ออกมาดีที่ 2,094 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่ และ เพิ่มขึ้น +147% YoY, +58% QoQ ซึ่งเราคาดว่าช่วง 4Q17 จะมีการโอนโครงการคอนโดต่อเนื่องจาก 3Q17 และจะมีคอนโดที่ก่อสร้างเสร็จเริ่มโอนอีก 1 โครงการ ได้แก่ Supalai Wellington II มูลค่า 3,600 ล้านบาท .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 5,548 ล้านบาท (+14% YoY) และปี 2018 ที่ 5,830 ล้านบาท (+5% YoY) .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 27.50 บาท)
CENTEL(ราคาปิด 51.75) เราเลือก CENTEL มาแนะนำสำหรับสัปดาห์นี้ .ซึ่ง CENTEL จะได้รับผลบวกจากทั้งมาตรการช็อปช่วยชาติและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องอีกด้วย .... เรามองภาพรวมของธุรกิจอาหารและโรงแรมในเดือน ต.ค. - พ.ย. เติบโตได้ดี จากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและฐานต่ำในปีก่อน .... KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 2,032 ล้านบาท เติบโต +10% YoY และปี 2018 ที่ 2,260 ล้านบาท (+11% YoY) …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 57.00 บาท)
JWD*(ราคาปิด 11.70) จากความคืบหน้าของโครงการ EEC โดยเรามองว่า JWD เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว นอกจากนี้ JWD ยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการ โอเชี่ยน แอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล และปี 2018 บริษัทมีแผนจะเข้าไปศึกษาและขยายธุรกิจในประเทศเวียดนาม .... Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 223 ล้านบาท เติบโตจากขาดทุนในปี 2016 ที่ -9 ล้านบาท และ ปี 2018 ที่ 333 ล้านบาท (+49% YoY) …. (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 13.38 บาท)
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Analyst
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]
OO2851
ตัวแปรด้านเศรษฐกิจจะมีน้อยลง เวลานี้รอดูร่างกฎหมายภาษีของสหรัฐฯ ว่าจะมีความคืบหน้าไปอย่างไร ราคาน้ำมัน รอการประชุม 30 พ.ย. หากออกมาว่ายืดเวลาการลดกำลังการผลิตที่จะสิ้นสุด มี.ค.61 ออกไป (ตามข่าวคือ ยืดจนถึงสิ้นปี '61) จะเป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบ
แรงซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดเอเซีย ยังเป็น net sell ของไทยขายน้อยลง เงินส่วนใหญ่เข้าตลาดพันธบัตร โดยการแข็งค่าของเงินบาท เป็นตัวหนุน fund flow จากต่างประเทศ แต่ถึงกระนั้น คงช่วยเพียงชะลอการขายหุ้นให้ขายช้าลงเท่านั้น
การเมือง รอดูหน้าตา ครม.ชุดใหม่ และนโยบาย ปกติการปรับ ครม.มีแนวโน้มที่ผลจะเป็นบวกมากกว่า แต่คงไม่มาก เพราะรัฐมนตรีที่เปลี่ยนส่วนใหญ่ไม่ได้มีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ
ประชุม ครม. คาดจะเร่งอนุมัติโครงการลงทุน หรือสนับสนุนการลงทุน ขณะที่มาตรการลดหย่อนภาษี อาจเข้าไม่ทัน ครม.ชุดนี้ เรามองว่า การตอบรับของนักลงทุนต่อมาตรการต่างๆ มีผลต่อราคาหุ้นมามาก upside จึงเหลือไม่มากนัก สำหรับหุ้นเหล่านี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มค้าปลีก ที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ยังคงแกว่งในกรอบ 1680-1730 จุด กรอบเดียวกับที่เรามองไว้ในสัปดาห์ก่อน โดยการพักฐานของดัชนีฯยังคงดำเนินต่อ เป็นผลจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา โดยแรงขายหุ้นมีเข้ามามากเมื่อดัชนีฯแตะระดับ 1720 จุด โดยแรงขายจะมาจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก และด้วยตัวแปรของตลาดสัปดาห์นี้ มีไม่มากนักและเป็นตัวแปรเดิมๆ เป็นส่วนหนึ่งให้ตลาดขาดปัจจัยหนุน ดัชนีฯจึงเคลื่อนไปไม่ได้ไกลนัก
กลยุทธ์การลงทุน : เนื่องด้วยดัชนีฯและราคาหุ้นตัวหลักๆ ถือว่าอยู่ในระดับสูง ขาดปัจจัยใหม่ๆ ...... กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เราแนะให้ทำทั้งฝั่งขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก (เทียบกับราคาที่เหมาะสมของหุ้น โดยเลือกขายหุ้นที่มี upside เหลือน้อยก่อน) ด้านฝั่งซื้อ ควรเลือกเป็นรายตัว เน้นเก้งกำไรช่วงสั้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่จะเล่นในลักษณะ stock rotation คือหมุนวนหุ้นเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์ #
พิจารณาข้อมูล NVDR Trading หุ้นที่ปริมาณซื้อขายสูง มีทั้งหุ้นที่ถูกคาดว่าจะมีแรงซื้อ และถูกขาย
หุ้นคาดจะมีแรงซื้อ : PTT, TOP, KBANK, BDMS, ESSO
หุ้นเสี่ยง : BBL, MINT, INTUCH
หุ้นในกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจกลุ่มหนึ่ง นอกเหนือหุ้นธนาคาร ที่เราเลือกแนะนำเพียงบางตัว เช่น KKP จะเป็นหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัย ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ และ backlog หรืออยู่ในช่วงของการรับรู้รายได้ เช่น SPALI, RICHY, LALIN
ราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดสั้นๆ WTI มีโอกาสแตะ $60 เหรียญ (ขึ้นกับผลประชุม OPEC 30 พ.ย.) เรากลับมาสนใจหุ้นที่มีโรงกลั่นน้ำมันเป็นของตัวเอง งบ 4Q น่าจะยังดีอยู่ อาทิ TOP, PTTGC, ESSO, SPRC แม้ค่าการกลั่นน้ำมันจะอ่อนตัวลง ลดลง แต่ยังคงอยู่ราวๆ $6-7 เหรียญ (ต.ค. $6.9 ; พ.ย. $6.4) ซึ่งเป็นระดับที่ยังดี และยังมีโอกาสเป็นบวกจาก กำไร stock ด้วย
Stock Picks of The Week 27 November - 01 December 2017
TOP :
ราคาปิด 92.50 บาท ราคาเหมาะสม 96.47 บาท
จากมุมมองในเชิงบวกของราคาน้ำมันดิบว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น อีกทั้งการประชุมกลุ่ม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย ส่งผลบวกในเชิง sentiment ต่อ TOP
Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 20,189 ล้านบาท (-5% YoY) และปี 2018 ที่ 19,070 ล้านบาท (-6% YoY) แต่ในเชิงกลยุทธเรามองว่าตลาดจะมีการปรับประมาณการขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบสามารถยืนตัวเหนือ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ จากการปรับเพิ่ม stovck gain
ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 96.47 บาท
KKP :
ราคาปิด 74.50 บาท ราคาเหมาะสม 84.00 บาท
เรามองว่า KKP เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มแบงก์จากผลการดำเนินงานช่วง 3Q17 ที่เติบโตโดดเด่น ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY และ 45% QoQ สูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท และได้ผลบวกจากการที่จะได้รับค่าธรรมเนียมโครงการ Thailand Future Fund โดย สคร. ระบุว่ากองทุนจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ภายในปีนี้
KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 6,022 ล้านบาท (+9% YoY) และปี 2018 ที่ 6,605 ล้านบาท (+10% YoY) ตามการขยายตัวของสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ Micro SMEs อีกทั้งบริษัทยังมีการเพิ่มช่องทางการตลาด
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 84.00 บาท
Weekly Portfolio 27 November - 01 December 2017
หุ้น เหตุผล
TOP*(ราคาปิด 92.50) จากมุมมองในเชิงบวกของราคาน้ำมันดิบว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น อีกทั้งการประชุมกลุ่ม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย ส่งผลบวกในเชิง sentiment ต่อ TOP …. Bloomberg คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 20,189 ล้านบาท (-5% YoY) และปี 2018 ที่ 19,070 ล้านบาท (-6% YoY) แต่ในเชิงกลยุทธเรามองว่าตลาดจะมีการปรับประมาณการขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบสามารถยืนตัวเหนือ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ จากการปรับเพิ่ม stovck gain …. (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 96.47 บาท)
KKP(ราคาปิด 74.50) เรามองว่า KKP เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มแบงก์จากผลการดำเนินงานช่วง 3Q17 ที่เติบโตโดดเด่น ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY และ 45% QoQ สูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท และได้ผลบวกจากการที่จะได้รับค่าธรรมเนียมโครงการ Thailand Future Fund โดย สคร. ระบุว่ากองทุนจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ภายในปีนี้ .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 6,022 ล้านบาท (+9% YoY) และปี 2018 ที่ 6,605 ล้านบาท (+10% YoY) ตามการขยายตัวของสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ Micro SMEs อีกทั้งบริษัทยังมีการเพิ่มช่องทางการตลาด .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 84.00 บาท)
SPALI(ราคาปิด 23.90) เรามองว่ากลุ่มอสังหาฯจะมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกครั้งหลังคาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมออกมาดีในช่วงปีหน้า เราเลือกแนะนำ SPALI เนื่องจาก ผลประกอบการช่วง 3Q17 ออกมาดีที่ 2,094 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่ และ เพิ่มขึ้น +147% YoY, +58% QoQ ซึ่งเราคาดว่าช่วง 4Q17 จะมีการโอนโครงการคอนโดต่อเนื่องจาก 3Q17 และจะมีคอนโดที่ก่อสร้างเสร็จเริ่มโอนอีก 1 โครงการ ได้แก่ Supalai Wellington II มูลค่า 3,600 ล้านบาท .... KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 5,548 ล้านบาท (+14% YoY) และปี 2018 ที่ 5,830 ล้านบาท (+5% YoY) .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 27.50 บาท)
CENTEL(ราคาปิด 51.75) เราเลือก CENTEL มาแนะนำสำหรับสัปดาห์นี้ .ซึ่ง CENTEL จะได้รับผลบวกจากทั้งมาตรการช็อปช่วยชาติและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องอีกด้วย .... เรามองภาพรวมของธุรกิจอาหารและโรงแรมในเดือน ต.ค. - พ.ย. เติบโตได้ดี จากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและฐานต่ำในปีก่อน .... KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 2,032 ล้านบาท เติบโต +10% YoY และปี 2018 ที่ 2,260 ล้านบาท (+11% YoY) …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 57.00 บาท)
JWD*(ราคาปิด 11.70) จากความคืบหน้าของโครงการ EEC โดยเรามองว่า JWD เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว นอกจากนี้ JWD ยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการ โอเชี่ยน แอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล และปี 2018 บริษัทมีแผนจะเข้าไปศึกษาและขยายธุรกิจในประเทศเวียดนาม .... Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 223 ล้านบาท เติบโตจากขาดทุนในปี 2016 ที่ -9 ล้านบาท และ ปี 2018 ที่ 333 ล้านบาท (+49% YoY) …. (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 13.38 บาท)
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Analyst
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]
OO2851