- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 22 November 2017 16:32
- Hits: 2588
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 22-11-17
กลยุทธ์วันนี้ >> ยังถือ Let Profit Run และเก็งกำไรหุ้น Mid-Small Cap
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ 1,720 จุดในช่วงเช้าก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาและแกว่งตัว Sideways ตลอดวัน โดยสุดท้ายปิดลบ 3.90 จุดซึ่งแย่กว่าที่เราประเมินเล็กน้อย โดยแรงขายส่วนใหญ่มาจากสถาบันในประเทศที่พลิกมาขายสุทธิหนาแน่นถึง 1,914 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 554 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะยังแกว่งตัว Sideways Up จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังเป็นบวกหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯเดินหน้าทำ New High ขณะที่ทรัมป์กล่าวว่าจะมอบการปรับลดภาษีครั้งใหญ่เพื่อเป็นของขวัญวันคริสต์มาส เราคาดว่าแรงหนุนจากเม็ดเงิน LTF/RMF และกระแสเงินทุนที่มีโอกาสพลิกมาไหลเข้าจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่เร่งตัวจะช่วยหนุนในตลาดปรับตัวขึ้นต่อได้ในระยะถัดไป ส่วนระยะสั้นหุ้นขนาดกลาง-เล็กมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด
กลยุทธ์ : ยังเน้นถือ Let Profit Run และเก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็ก
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : CPALL, CPN, EKH, MINT, SYNEX
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$590ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$337ล้าน ขณะที่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$27ล้าน และไทย US$17ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคหลังมีกระแสคาดการณ์ว่าแผนปฏิรูปภาษีจะสามารถได้รับการอนุมัติก่อนถึงวันคริสต์มาส
กลยุทธ์วันนี้ >> ยังถือ Let Profit Run และเก็งกำไรหุ้น Mid-Small Cap
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ 1,720 จุดในช่วงเช้าก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาและแกว่งตัว Sideways ตลอดวัน โดยสุดท้ายปิดลบ 3.90 จุดซึ่งแย่กว่าที่เราประเมินเล็กน้อย โดยแรงขายส่วนใหญ่มาจากสถาบันในประเทศที่พลิกมาขายสุทธิหนาแน่นถึง 1,914 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 554 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะยังแกว่งตัว Sideways Up จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังเป็นบวกหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯเดินหน้าทำ New High ขณะที่ทรัมป์กล่าวว่าจะมอบการปรับลดภาษีครั้งใหญ่เพื่อเป็นของขวัญวันคริสต์มาส เราคาดว่าแรงหนุนจากเม็ดเงิน LTF/RMF และกระแสเงินทุนที่มีโอกาสพลิกมาไหลเข้าจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่เร่งตัวจะช่วยหนุนในตลาดปรับตัวขึ้นต่อได้ในระยะถัดไป ส่วนระยะสั้นหุ้นขนาดกลาง-เล็กมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด
กลยุทธ์ : ยังเน้นถือ Let Profit Run และเก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็ก
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : CPALL, CPN, EKH, MINT, SYNEX
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$590ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$337ล้าน ขณะที่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$27ล้าน และไทย US$17ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคหลังมีกระแสคาดการณ์ว่าแผนปฏิรูปภาษีจะสามารถได้รับการอนุมัติก่อนถึงวันคริสต์มาส
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> PCSGH <<
PCSGH ไม่ใช่หุ้น Laggard แต่เป็น Leader ที่กำลังก้าวไปผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV ให้ลูกค้ายุโรปเป็นรายแรก ซึ่งล่าสุดได้รับงานเพิ่มในการผลิตชิ้นส่วน Plug-in Hybrid Electric Vehicles และ Battery Electric Vehicles รวม 2 โครงการมูลค่า 2 พันลบ.
คาดกำไรสุทธิ 4Q17 โตแรง Y-Y และอาจไม่ลง Q-Q ทั้งที่เป็น Low Season เพราะมีคำสั่งซื้อที่ลูกค้าเลื่อนรับมอบจาก 3Q17 เป็น 4Q17 และเป็นช่วงที่จะมีการส่งมอบขิ้นส่วนให้กับ Big Bike, Big Truck, รวมถึงกลุ่ม Non-Auto มากขึ้น
คาดกำไรสุทธิปีนี้ +69% Y-Y ปีหน้า +15% Y-Y ยังให้เป็น Top Pick จากโอกาสการเติบโตและฐานะการเงินที่ดีกว่ากลุ่ม แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปีหน้า 9.60 บาท... ทั้งนี้ ข้อมูลสถิติบ่งชี้ว่าราคาหุ้นชอบขึ้นหลัง Opp Day ครั้งก่อนขึ้น 8% ครั้งนี้จัดช่วงเย็นของวันที่ 23 พ.ย.
PCSGH ไม่ใช่หุ้น Laggard แต่เป็น Leader ที่กำลังก้าวไปผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV ให้ลูกค้ายุโรปเป็นรายแรก ซึ่งล่าสุดได้รับงานเพิ่มในการผลิตชิ้นส่วน Plug-in Hybrid Electric Vehicles และ Battery Electric Vehicles รวม 2 โครงการมูลค่า 2 พันลบ.
คาดกำไรสุทธิ 4Q17 โตแรง Y-Y และอาจไม่ลง Q-Q ทั้งที่เป็น Low Season เพราะมีคำสั่งซื้อที่ลูกค้าเลื่อนรับมอบจาก 3Q17 เป็น 4Q17 และเป็นช่วงที่จะมีการส่งมอบขิ้นส่วนให้กับ Big Bike, Big Truck, รวมถึงกลุ่ม Non-Auto มากขึ้น
คาดกำไรสุทธิปีนี้ +69% Y-Y ปีหน้า +15% Y-Y ยังให้เป็น Top Pick จากโอกาสการเติบโตและฐานะการเงินที่ดีกว่ากลุ่ม แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปีหน้า 9.60 บาท... ทั้งนี้ ข้อมูลสถิติบ่งชี้ว่าราคาหุ้นชอบขึ้นหลัง Opp Day ครั้งก่อนขึ้น 8% ครั้งนี้จัดช่วงเย็นของวันที่ 23 พ.ย.
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) กำไรสุทธิกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี มีกำไรสุทธิรวม 4.4 หมื่นลบ. (-22% Q-Q, -9% Y-Y) เพราะมีขาดทุนพิเศษจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของ PTTEP ถ้าหักออก กำไรปกติอยู่ที่ 7.6 หมื่นลบ. (+49% Q-Q, +75% Y-Y) โตแข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่เด่นสุดคือโรงกลั่น แนวโน้มปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันขยับขึ้นได้อีกเล็กน้อย โดย Upside ยังจำกัดจากกำลังการผลิตในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น ส่วน margin ของธุรกิจปลายน้ำคาดชะลอตัวลง ยังให้น้ำหนัก Neutral กลุ่มพลังงาน แนะนำ IRPC เป็น Top pick ราคาเป้าหมายปี 2018 เท่ากับ 7.40 บาท
(+) M คาดกำไร 4Q17 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จาก SSSG ที่ยังบวกต่อใน ต.ค.-พ.ย. และมีเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น เราคาดกำไรทั้งปีนี้ +22% Y-Y เป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี ส่วนปีหน้า นอกจากการฟื้นตัวของสาขาต่างจังหวัดและการเปิดสาขาใหม่ ยังคาดว่าต้นทุนวัตถุดิบอาหารจะลดลง โดยเฉพาะหมูที่ก่อนหน้านี้คาดปรับตัวขึ้น เราปรับกำไรปีหน้าขึ้น 8% เป็น +23% Y-Y และปี 2018-2020 ขึ้นเฉลี่ย 17% ต่อปี อีกทั้งยัง Re-rate PE ขึ้นเป็น 30 เท่า จาก 24 เท่า ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 100 บาท จาก 75 บาท ซึ่งเมื่อคิดเป็น PEG ที่ 1.76 เท่ายังใกล้เคียงภูมิภาค นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินยังแกร่งสุดในกลุ่มอาหาร และมี Upside จากการเข้าซื้อกิจการในอนาคต เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อจากเดิมถือ
(0) RS แนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q17 คาดลดลง Q-Q จากผลกระทบของงานพระราชพิธี แต่ยังเพิ่ม Y-Y เราปรับกำไรปีนี้ขึ้น 13% และปรับปี 2018-2019 ขึ้น 44% - 50% โดยยังคงมุมมองเชิงบวกใน 2 ธุรกิจหลัก คือ Health & Beauty ที่มีการเพิ่มสินค้าและช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ ส่วนธุรกิจทีวีดิจิตอลจะฟื้นตัว จากศักยภาพในการปรับขึ้นค่าโฆษณที่สูงขึ้นตาม Rating รวมถึงการปรับวิธีขายโฆษณาโดยโฟกัสรายการที่มีความนิยมสูงๆ เราปรับราคาเป้าหมายปี 2018 ขึ้นเป็น 27 บาท แต่ Upside ไม่พอให้ซื้อ จึงแนะนำถือหรือซื้อเมื่ออ่อนตัว จากเดิมแนะนำขาย
(0) CK เบื้องต้นเราคาดแนวโน้มกำไร 4Q17 ทรงตัว Q-Q แต่เพิ่มขึ้น Y-Y จากการเติบโตของเงินลงทุนในบริษัทร่วมทั้ง BEM, CKP, และ TTW ส่วนปีหน้าคาดกำไรจะเร่งตัวขึ้นจากการรับรู้งานในมือที่มีกว่า 7.8 หมื่นลบ. และโอกาสการได้งานเพิ่มตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการอนุมัติงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสีม่วงใต้และสีส้มตะวันตกที่เป็นส่วนงานใต้ดิน ซึ่ง CK มีความเชี่ยวชาญสูง (มูลค่ารวมกว่า 2 แสนลบ.) คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 40 บาท
(0) กำไรสุทธิกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี มีกำไรสุทธิรวม 4.4 หมื่นลบ. (-22% Q-Q, -9% Y-Y) เพราะมีขาดทุนพิเศษจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของ PTTEP ถ้าหักออก กำไรปกติอยู่ที่ 7.6 หมื่นลบ. (+49% Q-Q, +75% Y-Y) โตแข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่เด่นสุดคือโรงกลั่น แนวโน้มปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันขยับขึ้นได้อีกเล็กน้อย โดย Upside ยังจำกัดจากกำลังการผลิตในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น ส่วน margin ของธุรกิจปลายน้ำคาดชะลอตัวลง ยังให้น้ำหนัก Neutral กลุ่มพลังงาน แนะนำ IRPC เป็น Top pick ราคาเป้าหมายปี 2018 เท่ากับ 7.40 บาท
(+) M คาดกำไร 4Q17 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จาก SSSG ที่ยังบวกต่อใน ต.ค.-พ.ย. และมีเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น เราคาดกำไรทั้งปีนี้ +22% Y-Y เป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี ส่วนปีหน้า นอกจากการฟื้นตัวของสาขาต่างจังหวัดและการเปิดสาขาใหม่ ยังคาดว่าต้นทุนวัตถุดิบอาหารจะลดลง โดยเฉพาะหมูที่ก่อนหน้านี้คาดปรับตัวขึ้น เราปรับกำไรปีหน้าขึ้น 8% เป็น +23% Y-Y และปี 2018-2020 ขึ้นเฉลี่ย 17% ต่อปี อีกทั้งยัง Re-rate PE ขึ้นเป็น 30 เท่า จาก 24 เท่า ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 100 บาท จาก 75 บาท ซึ่งเมื่อคิดเป็น PEG ที่ 1.76 เท่ายังใกล้เคียงภูมิภาค นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินยังแกร่งสุดในกลุ่มอาหาร และมี Upside จากการเข้าซื้อกิจการในอนาคต เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อจากเดิมถือ
(0) RS แนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q17 คาดลดลง Q-Q จากผลกระทบของงานพระราชพิธี แต่ยังเพิ่ม Y-Y เราปรับกำไรปีนี้ขึ้น 13% และปรับปี 2018-2019 ขึ้น 44% - 50% โดยยังคงมุมมองเชิงบวกใน 2 ธุรกิจหลัก คือ Health & Beauty ที่มีการเพิ่มสินค้าและช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ ส่วนธุรกิจทีวีดิจิตอลจะฟื้นตัว จากศักยภาพในการปรับขึ้นค่าโฆษณที่สูงขึ้นตาม Rating รวมถึงการปรับวิธีขายโฆษณาโดยโฟกัสรายการที่มีความนิยมสูงๆ เราปรับราคาเป้าหมายปี 2018 ขึ้นเป็น 27 บาท แต่ Upside ไม่พอให้ซื้อ จึงแนะนำถือหรือซื้อเมื่ออ่อนตัว จากเดิมแนะนำขาย
(0) CK เบื้องต้นเราคาดแนวโน้มกำไร 4Q17 ทรงตัว Q-Q แต่เพิ่มขึ้น Y-Y จากการเติบโตของเงินลงทุนในบริษัทร่วมทั้ง BEM, CKP, และ TTW ส่วนปีหน้าคาดกำไรจะเร่งตัวขึ้นจากการรับรู้งานในมือที่มีกว่า 7.8 หมื่นลบ. และโอกาสการได้งานเพิ่มตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการอนุมัติงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสีม่วงใต้และสีส้มตะวันตกที่เป็นส่วนงานใต้ดิน ซึ่ง CK มีความเชี่ยวชาญสูง (มูลค่ารวมกว่า 2 แสนลบ.) คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 40 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
22 พ.ย. - ไทย: SKE เริ่มซื้อขาย (ราคา IPO 1.80 บาท)
- สหรัฐฯ: ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงานการประชุม FOMC เฟดวันที่ 1 พ.ย.
23 พ.ย. - ไทย: THMUI เริ่มซื้อขาย (ราคา IPO 2.55 บาท) PORT เริ่มซื้อขาย (ราคา IPO 4.50 บาท) ยอดขายรถยนต์ (ต.ค.)
- ยูโรโซน: Flash PMI ภาคการผลิตและบริการ
24 พ.ย. - ไทย: กกพ. ประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติทางเทคนิคโครงการ SPP Hybrid Firm
28 พ.ย. - สหรัฐฯ: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)
29 พ.ย. - สหรัฐฯ: GDP3Q17 (ตัวเลขสุดท้าย)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนปิดบวกและทำนิวไฮจากแรงซื้อกลุ่มเทคโนโลยี โดยมีแรงหนุนจากผลประกอบการบมจ.ที่สดใส และ ความมั่นใจเกี่ยวกับมาตราการปรับลดภาษีของทรัมป์
(+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกจากแรงซื้อกลุ่มยานยนจากมุมมองผลประกอบการที่เป็นบวกมากขึ้น อีกทั้ง การเมืองในเยอรมนียังผ่อนคลายมากขึ้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเยอรมนีออกมาแสดงความพร้อมในการการเลือกตั้งอีกครั้ง
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดบวกตามทิศทางตลาดสหรัฐที่ทำนิวไฮ
(0) ค่าเงินบาทเช้านี้ยัง sideway ในกรอบแคบๆ ล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 32.74-32.78 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ปิดบวก 0.41 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 56.83 ดอลลาร์/บาร์เรล จากค่าเงินดอลลาร์อ่อน และ แรงเก็งกำไรก่อนการประชุมกลุ่มโอเปกสัปดาห์หน้า ขณะที่นักลงทุนเฝ้าจับตาตัวเลขสต๊อกน้ำมันสหรัฐวันนี้
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปิดบวก 6.40 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,281.70 ดอลลาร์/ออนซ์ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
- สหรัฐฯ: ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงานการประชุม FOMC เฟดวันที่ 1 พ.ย.
23 พ.ย. - ไทย: THMUI เริ่มซื้อขาย (ราคา IPO 2.55 บาท) PORT เริ่มซื้อขาย (ราคา IPO 4.50 บาท) ยอดขายรถยนต์ (ต.ค.)
- ยูโรโซน: Flash PMI ภาคการผลิตและบริการ
24 พ.ย. - ไทย: กกพ. ประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติทางเทคนิคโครงการ SPP Hybrid Firm
28 พ.ย. - สหรัฐฯ: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)
29 พ.ย. - สหรัฐฯ: GDP3Q17 (ตัวเลขสุดท้าย)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนปิดบวกและทำนิวไฮจากแรงซื้อกลุ่มเทคโนโลยี โดยมีแรงหนุนจากผลประกอบการบมจ.ที่สดใส และ ความมั่นใจเกี่ยวกับมาตราการปรับลดภาษีของทรัมป์
(+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกจากแรงซื้อกลุ่มยานยนจากมุมมองผลประกอบการที่เป็นบวกมากขึ้น อีกทั้ง การเมืองในเยอรมนียังผ่อนคลายมากขึ้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเยอรมนีออกมาแสดงความพร้อมในการการเลือกตั้งอีกครั้ง
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดบวกตามทิศทางตลาดสหรัฐที่ทำนิวไฮ
(0) ค่าเงินบาทเช้านี้ยัง sideway ในกรอบแคบๆ ล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 32.74-32.78 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ปิดบวก 0.41 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 56.83 ดอลลาร์/บาร์เรล จากค่าเงินดอลลาร์อ่อน และ แรงเก็งกำไรก่อนการประชุมกลุ่มโอเปกสัปดาห์หน้า ขณะที่นักลงทุนเฝ้าจับตาตัวเลขสต๊อกน้ำมันสหรัฐวันนี้
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปิดบวก 6.40 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,281.70 ดอลลาร์/ออนซ์ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
Contact person : Jitra Amornthum
Register : 014530 Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research
OO2673
Register : 014530 Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research
OO2673