- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 28 August 2014 15:59
- Hits: 1748
บล.เคเคเทรด : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
SET มีลุ้นทำจุดสูงสุดใหม่เหนือ 1570 จุด
แนวโน้ม วันนี้ SET มีโอกาสแกว่งตัวไร้ทิศทางในกรอบ 1560-1570 จุด และระหว่างวันมีโอกาสขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 1570 จุดอีกครั้ง (1) ความคาดหวังเชิงบวกต่อครม.ชุดใหม่ที่จะมีการทูลเกล้าถวายรายชื่อพรุ่งนี้ (2) งาน Thailand Focus วันที่สอง อาจมีแรงเก็งกำไรหุ้นกลุ่มนำตลาดที่มูลค่าตลาดขนาดใหญ่ใน กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร กลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ และ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (3) ทางเทคนิค มีการขึ้นทดสอบจุดสูงสุดใหม่เมื่อวานทำให้รูปแบบราคายังไม่เสีย (4) นักลงทุนต่างชาติและสถาบันยังคงซื้อสุทธิเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตามการประกาศตัวเลขส่งออกเดือนก.ค.ที่ลดลง 0.9% แย่กว่านักวิเคราะห์คาดว่าจะโต 4% อาจสร้างความวิตกต่อการฟื้นตัวของ GDP ช่วง 2H57 และกดดันจิตวิทยาของนักลงทุน หาก SET ค่อยๆขยับขึ้น ยังมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1590 จุด (Uptrend Channel) ในระดับสัปดาห์ แต่หากหลุด 1560 จุด จะเสี่ยงต่อโอกาสพักฐาน
กลยุทธ์การลงทุน ระยะ 1-2 วัน ดูแนวรับที่ 1560 จุดเป็นสำคัญ หากหลุดจะลงมาได้ถึง 1548 จุด เน้นขึ้นขายลงซื้อ
(1) Top Daily Pick : SRICHA (มีโอกาสรับงานเพิ่มช่วง 2H57 และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตต่อจากงานในมือ สถานะการเงินแข็งแกร่ง ความสามารถทำกำไรสูงกว่ากลุ่มรับเหมา ปันผลสม่ำเสมอสูงกว่า 5% ต่อปี ) และ SPALI (คาดผลประกอบการ 2H57 เติบโตต่อเนื่องจากงานงานในมือรองรับกว่า 80% ของประมาณการรายได้ทั้งปี รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นระดับ 40% สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 35% และให้ผลตอบแทนเงินปันผล 5-6% ต่อปี)
(2) Technical Pick : BBL KBANK SCC BJCHI QH
(3) Theme Play : กลุ่มอาหาร (CPF TUF) ยอดขายเร่งตัวช่วง 2H57 กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่เป็นตัวผลักดัน SET (BBL KBANK SCB) และหุ้นที่จะเข้าร่วมงาน Thailand Focus (AAV BANPU BJCHI BLAND CENTEL DTAC ERW HMPRO INTUCH IVL M SPALI PSL PTT)
Macro Talk
ผู้ว่าธปท.บอกอะไรในงาน Thailand Focus เมื่อวานนี้
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นพอสรุปได้ว่า
1. คาด GDP ปี 57 เติบโต 2% จะโตได้ 3%-4% ในไตรมาส 3 และ 4 โดยปี 58 อาจโตได้ถึง 5.5%
2. ต้องอาศัยนโยบายด้านอื่นนอกเหนือจากนโยบายการเงินเข้ามาร่วมด้วย โดยเฉพาะนโยบายด้านอุปทาน เช่น ความสามารถของแรงงานการศึกษา และ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
3. สิ่งสำคัญที่สุด คือ สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาว
4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง ควรจะออกมาเป็นแพ็กเกจในคราวเดียวกัน เพื่อให้เกิดความครบถ้วนทั้งในแง่ของรายได้และรายจ่าย ด้านรายจ่ายน่าจะขับเคลื่อนได้เป็นปกติ ไม่เหมือนกับช่วงก่อนหน้าที่มีปัญหาการเมือง ด้านการจัดเก็บรายได้เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาสมดุลด้านการคลัง แต่การปรับขึ้นอัตราภาษีหากทำในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม อาจกลายเป็นตัวหยุดการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งเห็นว่า รมว.คลังคนใหม่คงต้องพิจารณาภาพรวมให้สอดคล้องกันอย่างรอบคอบ
5. การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไม่ควรดำเนินมาตรการอย่างใจร้อน แต่ควรทำในลักษณะที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณมากเกินไป และต้องเกิดประโยชน์โดยรวมต่อประเทศ ซึ่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ, การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามที่ได้รับการจัดสรรไว้ หรือการเร่งอนุมัติคำขอส่งเสริมการลงทุนของโครงการภาคเอกชน ถือว่าเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระบบได้
(ที่มา:เว็บไซต์ไทยรัฐ)
ความเห็นของเรา
เนื่องจากตำแหน่งผู้ว่าการธปท.ถือว่าเป็นอิสระจากรัฐบาล ไม่สามารถคาดหมายได้ว่ารัฐบาลต้องนำความเห็นไปปฏิบัติ แต่เราเชื่อว่าแนวความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ เราประเมินสิ่งที่คาดหมายจะเกิดขึ้นใน 2H57 ต่อเนื่อง ปี 58
ดอกเบี้ยนโยบายจะไม่ปรับลดต่ำกว่านี้ และมีความเสี่ยงต่อการปรับขึ้นตามตลาดโลก กลุ่มอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเช่นผู้พัฒนาอสังหาฯ และธุรกิจโรงไฟฟ้าอาจได้รับผลกระทบ แต่ขึ้นกับความเร็วในการปรับขึ้น เทียบกับการเติบโตผลประกอบการ ประเด็นนี้ยังประเมินชัดเจนได้ยาก
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นด้านการบริโภคอาจมีไม่มาก (ค้าปลีก บันเทิงอาจไม่ได้ประโยชน์) แต่ช่วง 2H57 กำลังฟื้นจะฟื้นตัวจากภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ค้าปลีกได้รับผลบวก (CPALL)
จะเร่งรัดมาตรการโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับปรุงต่อเนื่องมาจากโครงการ 2 ล้านล้าน และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ (CK ITD STEC) รถไฟฟ้า (BMCL BTS) และ สนามบิน (AOT) จะได้ประโยชน์
เร่งรัดอนุมัติคำของส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมไทยประโยชน์ (คาด HEMRAJ ได้ประโยชน์มากสุด)
Smart Port Note
TUF คงเป้ารายได้ปีนี้ที่ 4,000 ล้านดอลลาร์ จากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป ปรับตัวดีขี้น รวมถึงโรคกุ้ง EMS ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และทูน่ามี margin ที่สูงขึ้น สำหรับหนี้สินต่อทุนปัจจุบันอยู่ที่ 0.8 เท่า ทำให้มีโอกาสในการเข้าซื้อกิจการเพิ่ม ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 15-16% จากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาอยู่ที่ 16.9%
BTS ซื้อหุ้นคืนภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 6 พันล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนประมาณ 5% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้ว กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อคืนตั้งแต่ วันที่ 25/08/57 – 24/02/58
AJD มูลค่าเหมาะสมอยู่ในระหว่างทบทวนประมาณการ
AJD ติด Cash Balance ระหว่าง 13/08/20147 – 19/09/2014
หุ้นใน Smart Port ที่จะขึ้น XD ได้แก่
28/08/2557 - SEAFCO
2/10/2557 - TVD
8/10/2557 - BLA