WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASPบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 

กลยุทธ์การลงทุน
          การฟื้นตัวของ SET ทะลุ 1700 จุดอีกครั้ง แต่ต่างชาติยังคงขายหุ้น และน้ำหนักจาก LTF ยังน้อย ทำให้ดัชนียังแกว่งตัวบวก-ลบ สลับ  กลยุทธ์เน้นสะสมหุ้นพื้นฐานที่เติบโตแรง Top picks ยังเลือก WORK (FV@B135) และเพิ่ม COM7 (FV@B21) ปรับเพิ่มประมาณการ และปรับ Fair Value ปี 2561 ขึ้นจากเดิม 19 เป็น 21 บาท

 

ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย ... กลุ่มพลังงาน-ธ.พ.-ค้าปลีก หนุนตลาดปิดบวก
          วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นโดดเด่นสวนทางตลาดหุ้นภูมิภาค โดยตลอดวันดัชนีแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้นตลอดวันก่อนจะปิดที่ 1702.63 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 15.58 จุด หรือ 0.92% มูลค่าการซื้อขาย 6.05 หมื่นล้านบาท โดย หุ้น Big Cap กลับมาหนุนตลาดอีกครั้งดัน SET Index ทะลุ 1700 จุด โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน โดย PTT เพิ่มขึ้น 0.97% TOP เพิ่มขึ้น 3.52% IRPC เพิ่มขึ้น 1.59% เช่นเดียยวกับกลุ่มปิโตรฯ คือ IVL เพิ่มขึ้นแรงกว่า 6.63% และ PTTGC เพิ่มขึ้น 0.63% นับว่าปีนี้หุ้นในกลุ่มปิโตรฯ ให้ผลตอบแทนที่ outperform ตลาดฯ ค่อนข้างมาก โดย IVL ตั้งแต่ต้นปีให้ผลตอบแทนสูงกว่า 38% ส่วน PTTGC ให้ผลตอบแทน 27% ซึ่งยัง Laggard กลุ่มฯ โดยในงวด 4Q60 ต่อเนื่องไปถึงปี 2561 ยังมีแรงขับเคลื่อนจากปริมาณการขายที่คอยผลักดันการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มูลค่าพื้นฐานปี 2561 อยู่ที่ 98 บาท มี upside อีก 22.5%
          ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์กลับมาฟื้นตัวโดดเด่นยกกลุ่ม ทั้ง KBANK เพิ่มขึ้น 3.23% BBL เพิ่มขึ้น 1.31% BAY เพิ่มขึ้น 0.65% และ KTB เพิ่มขึ้น 1.10% อีกกลุ่มที่ยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องคือ กลุ่มค้าปลีก CPALL เพิ่มขึ้น 2.13% HMPRO เพิ่มขึ้น 2.38% BJC เพิ่มขึ้น 0.49% และ COM7 เพิ่มขึ้นโดดเด่นกว่า 6.71% ซึ่งฝ่ายวิจัยยังคงชื่นชอบและเลือกเป็น Top pick ของฝ่ายฯ หลังจากกำไรใน 3Q60 สะท้อนความสำเร็จทุกหน่วยธุรกิจได้เป็นอย่างดี พร้อมกับแนวโน้มใน 4Q60 ที่จะปรับขึ้น Peak สุดของปี 2560 ยังคงแนะนำซื้อ Fair value ปี 2561 อยู่ที่ 21 บาท
          ส่วนหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ปรับขึ้นโดดเด่นคือ กลุ่มอสังหา ทั้ง CPN เพิ่มขึ้น 2.49% อสังหาฯ-พัฒนาที่อยู่อาศัย ANAN, AP เพิ่มขึ้น 6.96% และ 1.12%  ส่วนหุ้นกลุ่มนิคมฯ ทั้ง AMATA, WHA เพิ่มขึ้น 8.68% และ 3.13% ตามลำดับ
          แนวโน้มตลาดฯ วันนี้ ยังอยู่ในภาวะปรับฐาน โดยแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1712 และ 1720 จุด ตามลำดับ ส่วนแนวรับระหว่างวันอยู่ที่ 1695 จุด

 

ต่างชาติยังขายหุ้นไทย แต่ภาพรวมแรงขายหุ้นในภูมิภาคเริ่มเบาลง
          แรงขายหุ้นภูมิภาคเริ่มเบาลง โดยต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 2 ด้วยมูลค่าราว 1.3 ล้านเหรียญ และเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 3 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิราว 60 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 31 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และฟิลิปปินส์ 1 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 2 ประเทศต่างชาติยังคงขายสุทธิ คือ อินโดนีเซียถูกขายสุทธิ 53 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5) และไทยที่ต่างชาติยังคงขายสุทธิ 38 ล้านเหรียญ หรือ 1.24 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4 มีมูลค่ารวม 7.40 พันล้านบาท)  ต่างกับกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 1.41 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
          ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.93 หมื่นล้านบาท สวนทางกับต่างชาติที่สลับมาขายสุทธิเล็กน้อย 76 ล้านบาท (หลังจากซื้อในวันก่อนหน้า)
          
โค้งสุดท้าย แรงขายรับงบ 3Q60 เบาบางลง
          เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการรายงานงบฯ 3Q60 จนถึงช่วงค่ำวานนี้ มีบริษัทจดทะเบียนประกาศงบฯ 3Q60 แล้ว 528 บริษัท คิดเป็น 93% ของ Market Cap. ทั้งตลาดฯ มีกำไรสุทธิรวมกัน 2.08 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับงวด 3Q59 หากพิจารณาเฉพาะผลกำไรของภาคธุรกิจที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ (Real Sector) พบว่า กำไรสุทธิ 3Q60 รวมกันอยู่ที่ 1.57 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9%yoy และ 2.2%qoq  และกำไรสุทธิรวมงวด 9M60 (เฉพาะที่ประกาศงบฯ แล้ว) ราว 6.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6%yoy เมื่อเทียบกับ 9M59 ที่ทำได้ 6.72 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 9M60 ของ Real sector อยู่ที่ 5.45 แสนล้านบาท เทียบกับ 9M59 ที่ 5.22 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4%yoy  
          ทั้งนี้ เชื่อว่ากำไรฯ 3Q60 ไม่น่าจะน้อยกว่า 2Q60 ที่ราว 2.2 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับกำไรฯ 6M60 ที่ 5.1 แสนล้านบาท โดยรวมคาดกำไรสุทธิของทั้งตลาดในงวด 9M60  น่าจะทำได้ราว 7.3 แสนล้านบาท
          ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้มีการปรับประมาณการกำไรฯ ปีนี้และปีหน้า เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงาน 3Q60 ดังตารางด้านล่าง
          ทั้งนี้ กลุ่มที่มีการปรับเพิ่มประมาณการ ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มโรงพยาบาล ค้าปลีก บันเทิง ส่วนกลุ่มที่ปรับลดประมาณการ อยู่ในกลุ่มเหล็ก ประกัน และชิ้นส่วนฯ
GL ขาดทุนบักโกรก จบหรือยัง????
          ส่วนหุ้นที่รายงานงบการเงินออกมาขาดทุนอย่างมาก และผู้ตรวจสอบบัญชีมีรายงานอย่างมีเงื่อนไข คือ  GL  ขาดทุนสุทธิ 2607.59 ล้านบาท  พลิกจากที่รายงานผลกำไรตลอดในช่วงที่ผ่านมา (คือกำไร 328 ล้านบาท ในงวด 1Q60 และ 337 ล้านบาทในงวด 2Q60  และกำไรสุทธิ 1063 ล้านบาท ปี 2559 และ 582 ล้าบาทในปี 2558)  เพราะมีการตั้งสำรองผลขาดทุนที่เกิดจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์ (เงินให้กู้ยืมแก่ลูกหนี้ในประเทศสิงคโปร์ และ ไซปรัส และ บางส่วนในศรีลังกา)  ซึ่งเป็นไปตามที่ ก.ล.ต.  ระบุให้มีการปรับปรุงจากงบที่แสดงไว้สูงเกินไป ผลที่ตามมาทำให้กำไรสะสมที่บวก 2101 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 เป็นติดลบ 248.084 ล้านบาท สิ้นงวด 3Q60 และส่วนของผู้ถือหุ้น (BV) ลดลงจาก 8,500.91 ล้านบาท  หรือ หุ้นละ5.57  บาท ณ สิ้นปี 2559 เหลือ 5,619.20 บาท หรือหุ้นละ   3.68 บาท
          ทั้งนี้การปรับปรุงงบการเงินย้อนหลังที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ คาดว่าไม่น่าจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นแตกต่างจากที่กล่าวมาทั้งหมด แต่จะกระทบกำไร  แต่ละไตรมาสให้ลดลงคือ 
          อย่างไรก็ตามคาดว่าการปรับปรุงงบการเงินของ GL ยังไม่จบเพียงแค่นี้ แต่จะมีการปรับปรุงสินทรัพย์ ที่ลงทุนในประเทศอื่นๆ ที่ยังสำรองไม่หมดในงวดนี้ แม้ราคาหุ้นได้ปรับลดลงสะท้อนข่าวร้ายไประดับหนึ่งแล้ว แต่น่าจะยังไม่จบ จึงให้ติดตามตอนต่อไป

 

ตลาดหุ้นโลกเข้าสู่ช่วงปรับฐาน ยังขาดประเด็นใหม่ 
          เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ตลาดหุ้นโลกจะมีลักษณะแกว่งตัวหรือปรับฐาน เพราะไม่มีประเด็นบวก ใหม่ๆ  โดยเชื่อว่าตลาดน่าจะย่อยข่าวรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลก ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพิ่มขี้น   เริ่มจาก
          สหรัฐ คืนนี้จะมีการรายงานอัตราเงินเฟ้อ เดือน ต.ค. ตลาดคาดลดเหลือ 2%yoy จาก 2.2%yoy ในเดือน ก.ย. เทียบกับดอกเบี้ยฯ ที่  1.25% ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐยังแข็งแกร่ง  คือ อัตราการว่างงาน ล่าสุดอยู่ที่ 4.1% (ต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตซับไพรม์) ทำให้ตลาดคาดว่าสหรัฐจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปลายปี สะท้อนจากผลสำรวจการขึ้นดอกเบี้ยของ Bloomberg คาดโอกาสสูงราว 93% และปีหน้าคาดขึ้นอีก 3 ครั้ง  ทำให้ดอกเบี้ยสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1.5% และ 2.25%ในปีหน้า
          อังกฤษ เป็นอีกประเทศถัดไปที่มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีก หลังจากขึ้นครั้งแรกในรอบ 10 ปีในการประชุมรอบล่าสุด  25 bps อยู่ที่  0.5% เพราะเงินเฟ้อสูงมาก โดยเดือน ต.ค. ทรงตัวติดต่อกัน 2 เดือนที่ 3.0%yoy เป็นผลจากค่าเงินปอนด์เทียบดอลลาร์อ่อนค่า  นับจากหลัง Brexit  และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยหักเงินเฟ้อ ติดลบ 2.5% โดยตลาดคาดว่าอังกฤษจะขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า 2 ครั้งๆละ 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยสิ้นปี 2561 อยู่ที่ 1%  
          ขณะที่ยุโรปคาดว่าการใช้นโยบายการเงินตึงตัวจะล่าช้ากว่า เนื่องจากประเทศสมาชิกบางประเทศยังฟื้นตัวล่าช้า  หลังจากการประชุมรอบล่าสุด ได้ขยายระยะเวลามาตรการ QE ออกไปอีก 9 เดือน คือสิ้นสุด ก.ย.2561 ผ่านการซื้อสินทรัพย์ 4 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน
          ขณะที่ตลาดหุ้นโลกได้ฟื้นตัวต่อเนื่อง ตอบรับไปการฟื้นตัวไปแล้ว อาทิ สหรัฐที่เพิ่ม 18.45%ytd,ฝรั่งเศสราว 10%ytd , เยอรมันราว 11% และ อังกฤษราว  3.80%ytd  จึงเห็นการปรับฐานจากนี้
ราคาน้ำมันดิบโลกปรับฐาน กดดันตลาดหุ้นโลกอีกด้าน 
          นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบโลก  เริ่มปรับฐานช่วงสั้น  หลังจากทำสถิติสูงสุด 62 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งนับว่าสูงสุดในรอบ 2 ปี ครึ่ง   จากความกังวลต่อส่วนเกินผลผลิตน้ำจะยังมีอยู่ หลังจากสหรัฐเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบอีก 6.7 หมื่นบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 9.62 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงนักลงทุนคาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันมีโอกาสลดลง จาก 2 สาเหตุหลักๆ คือ 1. วานนี้ทางสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันลงเล็กน้อยราว 100,000 บาร์เรล/วันในปีนี้ และปีหน้า สู่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน และ 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบโลกปีนี้และปีหน้าอยู่ที่ 97.6 ล้านบาร์เรล/วัน และ 99.0 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ 2. เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ ส่งผลให้นักลงทุนกังวลต่อปริมาณการใช้น้ำมันมีโอกาสลดลง ขณะที่ประเด็นบวก จากการที่ซาอุดิอาระเบียและรัซเซียให้การสนับสนุนยืดระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบราว 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2561 ขยายออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2561ในการประชุมที่จะเกิดขึ้น ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย วันที่ 30 พ.ย. 2560 นี้ ส่วนวันนี้หุ้นน้ำมันอาจจะถูกกดดัน แต่น่าจะเป็นจังหวะสะสม โดยเฉพาะ PTTEP(FV'61@B116) เพราะหากพิจารณาราคาน้ำมันดิบ Dubai ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน พบว่าปรับขึ้นมาแล้ว 9.96% (ytd) แต่ราคาหุ้น PTTEP ลดลงจากต้นปีราว 3.12% (ytd) จึงถือได้ว่าราคาหุ้น  Laggard
  
Derivative Team :
          ภรณี ทองเย็น      เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
          เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม      เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
          พบชัย ภัทราวิชญ์     เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
          ภราดร เตียรณปราโมทย์       เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
          ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์     เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
OO2399

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!