- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 14 November 2017 16:54
- Hits: 499
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ปรับฐาน และอยู่ต่ำกว่า 1700 จุด อีกระยะหนึ่งจนกว่าการรายงาน 3Q60 จะเสร็จสิ้น ขณะที่ยังขาดแรงซื้อที่หนักแน่นและประเด็นหนุนใหม่ แม้จะมีแรงหนุนจาก LTF แต่จะถูกหักล้างจากต่างชาติที่ยังซื้อสลับขายอยู่ กลยุทธ์เน้นสะสมหุ้นพื้นฐานที่เติบโตแรง Top picks ยังเลือก WORK (FV@B135) และเพิ่ม COM7 (FV@B21) ปรับเพิ่มประมาณการ และปรับ Fair Value ปี 2561 ขึ้นจากเดิม 19 เป็น 21 บาท ขณะที่ยังชอบ SAWAD (FV@B80) เป็นหุ้น 1 ใน 3 ที่เข้าเกณฑ์คำนวณ SET50
กลยุทธ์การลงทุน
SET ปรับฐาน และอยู่ต่ำกว่า 1700 จุด อีกระยะหนึ่งจนกว่าการรายงาน 3Q60 จะเสร็จสิ้น ขณะที่ยังขาดแรงซื้อที่หนักแน่นและประเด็นหนุนใหม่ แม้จะมีแรงหนุนจาก LTF แต่จะถูกหักล้างจากต่างชาติที่ยังซื้อสลับขายอยู่ กลยุทธ์เน้นสะสมหุ้นพื้นฐานที่เติบโตแรง Top picks ยังเลือก WORK (FV@B135) และเพิ่ม COM7 (FV@B21) ปรับเพิ่มประมาณการ และปรับ Fair Value ปี 2561 ขึ้นจากเดิม 19 เป็น 21 บาท ขณะที่ยังชอบ SAWAD (FV@B80) เป็นหุ้น 1 ใน 3 ที่เข้าเกณฑ์คำนวณ SET50
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย ... ดัชนีปรับลงลึก แต่ฟื้นตัวได้ช่วงท้าย
วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องอีกวัน โดยช่วงแรกดัชนีติดลบไปเกือบ 10 จุด ก่อนช่วงท้ายของการซื้อขายจะฟื้นตัวขึ้นได้ ก่อนจะปิดที่ 1687.05 จุด ลดลง 2.23 จุด หรือ 0.13% มูลค่าการซื้อขาย 5.26 หมื่นล้านบาท ตลาดยังขาดปัจจัยบวกเข้ามาหนุนตลาด รวมถึงตลาดให้น้ำหนักกับการปรับพอร์ตการลงทุนของ MSCI ที่ประกาศเช้าวันนี้ (14 พ.ย.60) บวกกับยังมี sell on fact ให้เห็น ทำให้หลายกลุ่มฯ ปรับขึ้น-ลงกระจัดกระจาย โดยเฉพาะหุ้นโรงไฟฟ้าที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นแรงจนเต็มมูลค่าพื้นฐานไปมากแล้ว อาทิ EA ลดลง 2.84% BGRIM ลดลง 3.57% ซึ่งหุ้นทั้งสองมี upside ที่จำกัดฝ่ายวิจัยจึงแนะนำ switch ไปยัง TPIPP, GUNKUL, RATCH และ EGCO อีกกลุ่มที่ปรับลงคือกลุ่ม ICT นำโดยผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ DTAC ลดลงแรงกว่า 6.25% และ ADVANC ลดลง 1.39% ส่วน THCOM ลดลง 0.79%
สำหรับกลุ่มที่กลับมาฟื้นตัวโดดเด่นคือ กลุ่มค้าปลีก นำโดย BEAUTY เพิ่มขึ้นแรงกว่า 13.95% ขึ้นทำ All time high ปิดที่ 19.60 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันใกล้เต็มมูลค่าพื้นฐานของปี 2561 แล้ว จึงต้องระมัดระวังการปรับฐานช่วงสั้น ส่วน ROBINS เพิ่มขึ้น 2.42%, CPALL เพิ่มขึ้น 2.17% และ COM7 เพิ่มขึ้น 2.50% รับงบ 3Q60 โดดเด่น มีกำไรสุทธิ 150.6 ล้านบาท เติบโต 66% yoy ส่วนแนวโน้มสำหรับ 4Q60 ยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าน่าจะเป็นจุดสูงสุดของปี เนื่องจากเป็นช่วงจับจ่ายใช้สอยและมีมาตรการช็อปช่วยชาติเข้ามาหนุน จึงมีการปรับเพิ่มประมาณการฯ ขึ้น โดย Fair Value ใหม่ อยู่ที่ 21 บาท
สำหรับแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสพักตัวต่ออีกวัน ประเมินแนวต้านที่ 1700 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1680 จุด
ลุ้นพิจารณาร่างกฏหมายภาษีสหรัฐสัปดาห์นี้ ส่วนไทยเตรียมกระตุ้นผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติม
หลังจากการเดินทางเยือนเอเซียของประธานาธิบดี ทรัมป์ ในช่วงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมุ่งไปที่การเจรจาลดการขาดดุลการค้าสหรัฐและกดดันเกาหลีเหนือตามที่คาดไว้ และยังเข้าร่วมการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ซึ่งสหรัฐยังยืนยันถอนตัวจากข้อตกลงการค้า Trans Pacific Partnership (TPP) เพราะต้องการได้ประโยชน์จากสนธิสัญญามากขึ้น
ส่วนประเด็นในสหรัฐที่ต้องติดตาม คือการพิจารณามาตรการปฎิรูปโครงสร้างภาษีของสหรัฐ ที่จะมีการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ในวันพฤหัสบดีนี้ และต้องผลักดันให้มีผลบังคับใช้ภายใน 25 ธ.ค. 60 ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตลาดหุ้นสหรัฐตอบรับประเด็นนี้ไประดับหนึ่ง ทำให้การปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะเกิดจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก แต่หากพิจารณาตลาดหุ้นสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนกว่า 18%ytd ทำให้การปรับนับจากนี้น่าจะมีอัตราเพิ่มที่ลดลงได้
ส่วนในประเทศ ดูเหมือนรัฐยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องโดยเฉพาะการทำผ่านประชาชนรากหญ้า ล่าสุด เตรียมพิจารณาการแจกซิมอินเทอร์เน็ตฟรีให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียน 11.7 ล้านคน ในปี 2561 (โดยมีข้อจำกัดคือ จำกัดให้ดูแต่ข้อมูลที่มีความรู้) โดย ASPS เชื่อว่ากลุ่มคนเหล่านี้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว โดยให้น้ำหนักต่อประเด็นนี้เป็นกลาง (Neutral) ทั้งนี้ก่อนหน้ารัฐแจกเงินคนจนผ่านบัตรสวัสดิการคนจน เดือนละ 200-300 บาท/คน วงเงินรวมราว 4 หมื่นล้านบาท พร้อมกับล่าสุด ได้ผ่านมาตรการช็อปช่วยชาติ ซึ่งน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยรวมเป็นการกระตุ้นการบริโภคครัวเรือน คิดราว 50% ของ GDP เป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในข่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า
วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องอีกวัน โดยช่วงแรกดัชนีติดลบไปเกือบ 10 จุด ก่อนช่วงท้ายของการซื้อขายจะฟื้นตัวขึ้นได้ ก่อนจะปิดที่ 1687.05 จุด ลดลง 2.23 จุด หรือ 0.13% มูลค่าการซื้อขาย 5.26 หมื่นล้านบาท ตลาดยังขาดปัจจัยบวกเข้ามาหนุนตลาด รวมถึงตลาดให้น้ำหนักกับการปรับพอร์ตการลงทุนของ MSCI ที่ประกาศเช้าวันนี้ (14 พ.ย.60) บวกกับยังมี sell on fact ให้เห็น ทำให้หลายกลุ่มฯ ปรับขึ้น-ลงกระจัดกระจาย โดยเฉพาะหุ้นโรงไฟฟ้าที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นแรงจนเต็มมูลค่าพื้นฐานไปมากแล้ว อาทิ EA ลดลง 2.84% BGRIM ลดลง 3.57% ซึ่งหุ้นทั้งสองมี upside ที่จำกัดฝ่ายวิจัยจึงแนะนำ switch ไปยัง TPIPP, GUNKUL, RATCH และ EGCO อีกกลุ่มที่ปรับลงคือกลุ่ม ICT นำโดยผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ DTAC ลดลงแรงกว่า 6.25% และ ADVANC ลดลง 1.39% ส่วน THCOM ลดลง 0.79%
สำหรับกลุ่มที่กลับมาฟื้นตัวโดดเด่นคือ กลุ่มค้าปลีก นำโดย BEAUTY เพิ่มขึ้นแรงกว่า 13.95% ขึ้นทำ All time high ปิดที่ 19.60 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันใกล้เต็มมูลค่าพื้นฐานของปี 2561 แล้ว จึงต้องระมัดระวังการปรับฐานช่วงสั้น ส่วน ROBINS เพิ่มขึ้น 2.42%, CPALL เพิ่มขึ้น 2.17% และ COM7 เพิ่มขึ้น 2.50% รับงบ 3Q60 โดดเด่น มีกำไรสุทธิ 150.6 ล้านบาท เติบโต 66% yoy ส่วนแนวโน้มสำหรับ 4Q60 ยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าน่าจะเป็นจุดสูงสุดของปี เนื่องจากเป็นช่วงจับจ่ายใช้สอยและมีมาตรการช็อปช่วยชาติเข้ามาหนุน จึงมีการปรับเพิ่มประมาณการฯ ขึ้น โดย Fair Value ใหม่ อยู่ที่ 21 บาท
สำหรับแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสพักตัวต่ออีกวัน ประเมินแนวต้านที่ 1700 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1680 จุด
ลุ้นพิจารณาร่างกฏหมายภาษีสหรัฐสัปดาห์นี้ ส่วนไทยเตรียมกระตุ้นผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติม
หลังจากการเดินทางเยือนเอเซียของประธานาธิบดี ทรัมป์ ในช่วงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมุ่งไปที่การเจรจาลดการขาดดุลการค้าสหรัฐและกดดันเกาหลีเหนือตามที่คาดไว้ และยังเข้าร่วมการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ซึ่งสหรัฐยังยืนยันถอนตัวจากข้อตกลงการค้า Trans Pacific Partnership (TPP) เพราะต้องการได้ประโยชน์จากสนธิสัญญามากขึ้น
ส่วนประเด็นในสหรัฐที่ต้องติดตาม คือการพิจารณามาตรการปฎิรูปโครงสร้างภาษีของสหรัฐ ที่จะมีการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ในวันพฤหัสบดีนี้ และต้องผลักดันให้มีผลบังคับใช้ภายใน 25 ธ.ค. 60 ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตลาดหุ้นสหรัฐตอบรับประเด็นนี้ไประดับหนึ่ง ทำให้การปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะเกิดจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก แต่หากพิจารณาตลาดหุ้นสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนกว่า 18%ytd ทำให้การปรับนับจากนี้น่าจะมีอัตราเพิ่มที่ลดลงได้
ส่วนในประเทศ ดูเหมือนรัฐยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องโดยเฉพาะการทำผ่านประชาชนรากหญ้า ล่าสุด เตรียมพิจารณาการแจกซิมอินเทอร์เน็ตฟรีให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียน 11.7 ล้านคน ในปี 2561 (โดยมีข้อจำกัดคือ จำกัดให้ดูแต่ข้อมูลที่มีความรู้) โดย ASPS เชื่อว่ากลุ่มคนเหล่านี้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว โดยให้น้ำหนักต่อประเด็นนี้เป็นกลาง (Neutral) ทั้งนี้ก่อนหน้ารัฐแจกเงินคนจนผ่านบัตรสวัสดิการคนจน เดือนละ 200-300 บาท/คน วงเงินรวมราว 4 หมื่นล้านบาท พร้อมกับล่าสุด ได้ผ่านมาตรการช็อปช่วยชาติ ซึ่งน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยรวมเป็นการกระตุ้นการบริโภคครัวเรือน คิดราว 50% ของ GDP เป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในข่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า
MSCI Play แนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่ถูกคัดเข้าใน MSCI Global Small Cap
เช้านี้ MSCI (Morgan Stanley Capital International) ได้ประกาศรายชื่อหุ้นที่ถูกนำเข้าและคัดออกในดัชนี MSCI Global Standard และ MSCI Global Small Cap มีผลบังคับใช้สิ้น 30 พ.ย. 2560 นี้ โดยมีหุ้นไทยที่ถูกคัดเข้า – ออก ดังตารางด้านล่างนี้
หุ้นที่ได้รับการเข้ารวมและถอดออกจากดัชนี MSCI รอบ พ.ย. 2560
เช้านี้ MSCI (Morgan Stanley Capital International) ได้ประกาศรายชื่อหุ้นที่ถูกนำเข้าและคัดออกในดัชนี MSCI Global Standard และ MSCI Global Small Cap มีผลบังคับใช้สิ้น 30 พ.ย. 2560 นี้ โดยมีหุ้นไทยที่ถูกคัดเข้า – ออก ดังตารางด้านล่างนี้
หุ้นที่ได้รับการเข้ารวมและถอดออกจากดัชนี MSCI รอบ พ.ย. 2560
ที่มา : MSCI
โดยหุ้น BEC แต่เดิมอยู่ในดัชนี MSCI Global Standard แต่ด้วยขนาดของ Market Cap. ที่ลดลงจึงถูกเลื่อนมาอยู่ใน MSCI Global Small Cap
กลยุทธ์การลงทุน MSCI Play: แม้หุ้นที่ถูกเข้าคำนวณใน MSCI Global Small Cap ส่วนใหญ่ราคาจะเกินมูลค่าพื้นฐานแล้ว แต่ยังพอที่จะเก็งกำไรได้ โดยหากดูจากการศึกษาข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน พบว่า หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี MSCI Global Small Cap ให้ผลตอบแทนราว 2.6% และให้ผลตอบแทนเป็นบวก 60% (หากซื้อที่ราคาเปิดของวันที่ประกาศ และขายทำกำไรใน 2 สัปดาห์ให้หลัง) แต่ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงการประกาศ 2 ครั้งหลังสุด หุ้นที่ถูกคัดเข้าดัชนี MSCI Global Small Cap ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงก่อนบังคับใช้ (ราว 2 สัปดาห์) สูงถึง 12.4% และมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 100% สำหรับหุ้นที่ถูกคัดออกฯ ราคาหุ้นอาจถูกกดดันระยะสั้น แล้วค่อยฟื้นตัวกลับมาหลังจากมีผลบังคับใช้
ดังนั้นกลยุทธ์แนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นที่ถูกเข้าคำนวณ MSCI Global Small Cap และขายทำกำไรในวันที่มีผลบังคับใช้ 30 พ.ย. 60 ส่วนหุ้น SAWAD แม้จะไม่ได้ถูกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Standard แต่ด้วยผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีที่ยังเติบโตต่อเนื่อง และยังมีโอกาสถูกคัดเลือกเข้า SET50 ในรอบใหม่นี้ด้วย หากราคาหุ้นย่อตัวลงมาถือเป็นโอกาสในการสะสม
โดยหุ้น BEC แต่เดิมอยู่ในดัชนี MSCI Global Standard แต่ด้วยขนาดของ Market Cap. ที่ลดลงจึงถูกเลื่อนมาอยู่ใน MSCI Global Small Cap
กลยุทธ์การลงทุน MSCI Play: แม้หุ้นที่ถูกเข้าคำนวณใน MSCI Global Small Cap ส่วนใหญ่ราคาจะเกินมูลค่าพื้นฐานแล้ว แต่ยังพอที่จะเก็งกำไรได้ โดยหากดูจากการศึกษาข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน พบว่า หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี MSCI Global Small Cap ให้ผลตอบแทนราว 2.6% และให้ผลตอบแทนเป็นบวก 60% (หากซื้อที่ราคาเปิดของวันที่ประกาศ และขายทำกำไรใน 2 สัปดาห์ให้หลัง) แต่ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงการประกาศ 2 ครั้งหลังสุด หุ้นที่ถูกคัดเข้าดัชนี MSCI Global Small Cap ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงก่อนบังคับใช้ (ราว 2 สัปดาห์) สูงถึง 12.4% และมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 100% สำหรับหุ้นที่ถูกคัดออกฯ ราคาหุ้นอาจถูกกดดันระยะสั้น แล้วค่อยฟื้นตัวกลับมาหลังจากมีผลบังคับใช้
ดังนั้นกลยุทธ์แนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นที่ถูกเข้าคำนวณ MSCI Global Small Cap และขายทำกำไรในวันที่มีผลบังคับใช้ 30 พ.ย. 60 ส่วนหุ้น SAWAD แม้จะไม่ได้ถูกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Standard แต่ด้วยผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีที่ยังเติบโตต่อเนื่อง และยังมีโอกาสถูกคัดเลือกเข้า SET50 ในรอบใหม่นี้ด้วย หากราคาหุ้นย่อตัวลงมาถือเป็นโอกาสในการสะสม
รายงานงบฯ 3Q60 ใกล้เสร็จสิ้น แรงขายรับงบยังมีอยู่ เลือก COM7, WORK
จนถึงช่วงค่ำวานนี้ มีบริษัทจดทะเบียนประกาศงบฯ 3Q60 แล้ว 361 บริษัท คิดเป็น 81% ของ Market Cap. ทั้งตลาดฯ ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 1.95 แสนล้านบาท ดีกว่า 3Q59 ที่ทำกำไรสุทธิได้ 1.92 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.2%yoy และ 1.3%qoq ขณะที่ผลการดำเนินงานเฉพาะภาคธุรกิจที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ (Real Sector) พบว่า กำไรสุทธิ 3Q60 รวมกันอยู่ที่ 1.43 แสนล้านบาท ดีกว่า 3Q59 ที่ทำกำไรสุทธิได้ 1.32 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.7%yoy และ 2.9%qoq ขณะที่ภาพรวมกำไรสุทธิงวด 9M60 (เฉพาะที่ประกาศงบฯ แล้ว) อยู่ที่ 6.39 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1%yoy เมื่อเทียบกับ 9M59 ที่ทำได้ 6.07 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 9M60 ของ Real sector อยู่ที่ 4.93 แสนล้านบาท ดีกว่า 9M59 ที่ 4.57 แสนล้านบาท หรือ 8%yoy
จนถึงช่วงค่ำวานนี้ มีบริษัทจดทะเบียนประกาศงบฯ 3Q60 แล้ว 361 บริษัท คิดเป็น 81% ของ Market Cap. ทั้งตลาดฯ ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 1.95 แสนล้านบาท ดีกว่า 3Q59 ที่ทำกำไรสุทธิได้ 1.92 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.2%yoy และ 1.3%qoq ขณะที่ผลการดำเนินงานเฉพาะภาคธุรกิจที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ (Real Sector) พบว่า กำไรสุทธิ 3Q60 รวมกันอยู่ที่ 1.43 แสนล้านบาท ดีกว่า 3Q59 ที่ทำกำไรสุทธิได้ 1.32 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.7%yoy และ 2.9%qoq ขณะที่ภาพรวมกำไรสุทธิงวด 9M60 (เฉพาะที่ประกาศงบฯ แล้ว) อยู่ที่ 6.39 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1%yoy เมื่อเทียบกับ 9M59 ที่ทำได้ 6.07 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 9M60 ของ Real sector อยู่ที่ 4.93 แสนล้านบาท ดีกว่า 9M59 ที่ 4.57 แสนล้านบาท หรือ 8%yoy
หุ้นที่มีการปรับประมาณการฯ และมีแนวโน้มผลการดำเนินงานโดดเด่นสุด คือ COM7, WORK รวมทั้ง SAWAD
COM7 กำไรงวด 3Q60 ดีกว่าคาดมาก เติบโตสูงถึง 65.6% yoy และ 19%qoq จากรายได้ที่เติบโตตามยอดขายสาขาเดิมโตสูง 20% และ Net Margin ที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์ ASPS จึงปรับประมาณการกำไรปี 2560 จากเดิม 19% สะท้อนแนวโน้ม 4Q60 คาดกำไรสุทธิพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่จากทั้งมาตรการช็อปช่วยชาติ และการเริ่มขาย iPhone X คาดหนุนยอดขายสาขาเดิมเติบโตโดดเด่น รวมถึงสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากค่ายอื่น รวมทั้งการบันทึกรายได้จากลูกค้าองค์กร, การเป็นพันธมิตรกับ TRUE เริ่มเห็นพัฒนาการ และยังมีผลบวกจากการขายสินค้าออนไลน์ และปรับปี 2561 ขึ้นอีก 15% จากปัจจัยดังข้างต้น บวกกับแผนการขยายสาขา Tesco เริ่มมีความคืบหน้า, การบริหารร้านทรูช็อปเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นหลังเริ่มปรับปรุงการดำเนินงานได้ดีขึ้น และการขายแฟรนไชส์ ภายใต้ประมาณการใหม่ คาดกำไรสุทธิปี 2560-61 เติบโตเฉลี่ยปีละ 39% โดย Fair Value ใหม่อยู่ที่ 21 บาท จากเดิม 19 บาท มี upside 28% (อ่านรายละเอียด Equity Talk วันนี้)
เช่นเดียวกับ WORK กำไรงวด 3Q60 ดีกว่าคาดมาก ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ปรับประมาณการกำไรปี 2560 ขึ้นจากเดิม 25.5% และ ปี 2561 เพิ่มขึ้น 35.9% เพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตและ SG&A ต่ำกว่าคาด รวมถึงผลจากการปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตลดลงตามขั้นบันไดในอัตราใหม่ที่มีผลในปี 2561 ทำให้กำไรในปี 2560 เติบโต 431% จากปี 2559 (ปีนี้เติบโตแรงเพราะค่าโฆษณาที่เพิ่มจาก 5 หมื่นบาทต่อนาที เป็น 6.9 หมื่นบาท หรือเพิ่มขึ้น 38%) และ 33% ในปี 2561 และหันไปใช้ fair value 135 บาท มี upside 30% (อ่านรายละเอียด Equity Talk ฉบับวันที่ 10 พ.ย.)
และ SAWAD คาดว่ากำไรสุทธิ 3Q60 อยู่ที่ราว 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% qoq 25% yoy เกิดจากช่วงฤดูกาลของธุรกิจที่จะโดดเด่นในงวดนี้ และคาดว่าจะต่อเนื่องใน 4Q60 นักวิเคราะห์ ASPS จึงปรับประมาณการฯ ปี 2561-62 ขึ้น 7.2% และ 12.9% ตามลำดับ (ส่วนปี 2560 ยังคงเดิม) ทำให้ทั้งปี 2560 เติบโต 25.5% ส่วนปี 2561 จะเติบโต 34.6% (หลังทำงบการเงินรวมกับ BFIT แล้ว) และ เมื่อหันไปใช้ Fair Value ปี 2561 จะอยู่ 80 บาท มี upside 17% นอกจากนี้ SAWAD ยังได้ sentiment บวกจากการที่นักวิเคราะห์เชิงปริมาณคาดว่าจะได้เข้าคำนวณใน SET50 รอบ 1H61 (ติดตามอ่านรายละเอียด Quantitative Report ฉบับวันที่ 10 พ.ย.)
COM7 กำไรงวด 3Q60 ดีกว่าคาดมาก เติบโตสูงถึง 65.6% yoy และ 19%qoq จากรายได้ที่เติบโตตามยอดขายสาขาเดิมโตสูง 20% และ Net Margin ที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์ ASPS จึงปรับประมาณการกำไรปี 2560 จากเดิม 19% สะท้อนแนวโน้ม 4Q60 คาดกำไรสุทธิพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่จากทั้งมาตรการช็อปช่วยชาติ และการเริ่มขาย iPhone X คาดหนุนยอดขายสาขาเดิมเติบโตโดดเด่น รวมถึงสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากค่ายอื่น รวมทั้งการบันทึกรายได้จากลูกค้าองค์กร, การเป็นพันธมิตรกับ TRUE เริ่มเห็นพัฒนาการ และยังมีผลบวกจากการขายสินค้าออนไลน์ และปรับปี 2561 ขึ้นอีก 15% จากปัจจัยดังข้างต้น บวกกับแผนการขยายสาขา Tesco เริ่มมีความคืบหน้า, การบริหารร้านทรูช็อปเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นหลังเริ่มปรับปรุงการดำเนินงานได้ดีขึ้น และการขายแฟรนไชส์ ภายใต้ประมาณการใหม่ คาดกำไรสุทธิปี 2560-61 เติบโตเฉลี่ยปีละ 39% โดย Fair Value ใหม่อยู่ที่ 21 บาท จากเดิม 19 บาท มี upside 28% (อ่านรายละเอียด Equity Talk วันนี้)
เช่นเดียวกับ WORK กำไรงวด 3Q60 ดีกว่าคาดมาก ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ปรับประมาณการกำไรปี 2560 ขึ้นจากเดิม 25.5% และ ปี 2561 เพิ่มขึ้น 35.9% เพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตและ SG&A ต่ำกว่าคาด รวมถึงผลจากการปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตลดลงตามขั้นบันไดในอัตราใหม่ที่มีผลในปี 2561 ทำให้กำไรในปี 2560 เติบโต 431% จากปี 2559 (ปีนี้เติบโตแรงเพราะค่าโฆษณาที่เพิ่มจาก 5 หมื่นบาทต่อนาที เป็น 6.9 หมื่นบาท หรือเพิ่มขึ้น 38%) และ 33% ในปี 2561 และหันไปใช้ fair value 135 บาท มี upside 30% (อ่านรายละเอียด Equity Talk ฉบับวันที่ 10 พ.ย.)
และ SAWAD คาดว่ากำไรสุทธิ 3Q60 อยู่ที่ราว 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% qoq 25% yoy เกิดจากช่วงฤดูกาลของธุรกิจที่จะโดดเด่นในงวดนี้ และคาดว่าจะต่อเนื่องใน 4Q60 นักวิเคราะห์ ASPS จึงปรับประมาณการฯ ปี 2561-62 ขึ้น 7.2% และ 12.9% ตามลำดับ (ส่วนปี 2560 ยังคงเดิม) ทำให้ทั้งปี 2560 เติบโต 25.5% ส่วนปี 2561 จะเติบโต 34.6% (หลังทำงบการเงินรวมกับ BFIT แล้ว) และ เมื่อหันไปใช้ Fair Value ปี 2561 จะอยู่ 80 บาท มี upside 17% นอกจากนี้ SAWAD ยังได้ sentiment บวกจากการที่นักวิเคราะห์เชิงปริมาณคาดว่าจะได้เข้าคำนวณใน SET50 รอบ 1H61 (ติดตามอ่านรายละเอียด Quantitative Report ฉบับวันที่ 10 พ.ย.)
ต่างชาติสลับมาซื้อหุ้นแถบเอเชียตะวันออก แต่ยังขายกลุ่ม TIP
วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคมูลค่าราว 56 ล้านเหรียญ แต่เป็นการซื้อสุทธิเฉพาะตลาดหุ้นในแถบเอเชียตะวันออก คือ ตลาดหุ้นไต้หวัน 115 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และเกาหลีใต้ซึ่งถูกสลับมาซื้อสุทธิราว 46 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) ส่วนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ต่างชาติขายสุทธิทุกแห่ง เริ่มจาก อินโดนีเซีย 24 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4), ฟิลิปปินส์ 30 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และไทยที่ต่างชาติยังคงขายสุทธิอีกกว่า 51 ล้านเหรียญ หรือ 1.69 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ส่วนสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิ 749 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 3 วัน)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 631 ล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิ 3.34 พันล้านบาท
วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคมูลค่าราว 56 ล้านเหรียญ แต่เป็นการซื้อสุทธิเฉพาะตลาดหุ้นในแถบเอเชียตะวันออก คือ ตลาดหุ้นไต้หวัน 115 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และเกาหลีใต้ซึ่งถูกสลับมาซื้อสุทธิราว 46 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) ส่วนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ต่างชาติขายสุทธิทุกแห่ง เริ่มจาก อินโดนีเซีย 24 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4), ฟิลิปปินส์ 30 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และไทยที่ต่างชาติยังคงขายสุทธิอีกกว่า 51 ล้านเหรียญ หรือ 1.69 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ส่วนสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิ 749 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 3 วัน)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 631 ล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิ 3.34 พันล้านบาท
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
OO2331