- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 18 October 2017 20:06
- Hits: 9591
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
'SET เหนือ 1700…ยังเลือกซื้อ/ถือต่อได้'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET พักตัวเล็กๆ ปิดตลาด -2.20 จุดที่ 1724.47 โดยตลาดรอปัจจัยใหม่ คือ คาดการณ์และรายงานกำไร 3Q60 ที่กำลังทยอยออกมา สถาบันในประเทศและต่างชาติขายสุทธิ ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ
สำหรับวันนี้ แม้ว่าจะมีการแกว่งจากแรงขายทำกำไรบ้าง แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังอยู่ในโมเมนตัมที่ดี และการทำนิวไฮของดัชนี DJIA และ S&P500 ก็ช่วยหนุน Sentiment ด้วย ส่วนปัจจัยหลักที่ช่วยกระตุ้นในช่วงนี้เป็นผลประกอบการ 3Q60 ซึ่งสัปดาห์นี้เป็นรอบของธ.พ.ที่ทยอยออกมา ล่าสุด TMB มีกำไร 3Q60 ต่ำกว่าคาดเพราะกันสำรองสูง (155bps) รองรับการ Write-off ทำให้ NPL ratio ลดสู่ 2.44% และมี Coverage ratio 141% ส่วนกำไรก่อนสำรอง +4% เป็น 4.9 พันลบ.ตามคาด แนะซื้อ TP ปีนี้ 2.67 บาท (จะปรับขึ้นไปอิงกับกำไรปี 61) สำหรับหุ้นที่เราคาดว่ากำไร 3Q60 จะโตแข็งแกร่ง คือ GFPT (ส่งออกไก่ไปญี่ปุ่นสดใส- ให้ TP 23.8 บาท), ERW (รายได้เฉลี่ย/ห้อง/คืนเพิ่มขึ้นดี และขยายโรงแรม Hop Inn ต่อเนื่อง- ให้ TP 7.7 บาท), MTLS (จากการเปิดสาขาใหม่ – ให้ TP 42 บาท), PTTGC (ใช้กำลังผลิตเพิ่มและรับโอน 6 บริษัทจาก PTT เข้ามา- ให้ TP 84 บาท), MCS (ส่งมอบโครงสร้างเหล็กได้มากขึ้น- ให้ TP 18.3 บาท) เป็นต้น
กลยุทธ์ลงทุน : เลือกซื้อ/ถือต่อ เมื่อ SET และราคาหุ้นอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (ระยะสั้นมากให้ฟิวเตอร์ไว้ที่ 1700 จุด) สำหรับหุ้นแนะนำรายสัปดาห์ (18-24 ต.ค.) คือ BBL, ERW ส่วนหุ้น Picks ใน Wealth Perspective-Equity เดือนต.ค.60 คือ ERW, MTLS, KBANK, PTTGC, TISCO และ Dark Horse เป็น COM7
ส่วนหุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ได้แก่ KTC, LH, GLOW, COM7, M, BPP, ESSO ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อ คือ SENA, PTTGC, RJH, RS, TMB, BCH, ROJNA, IRPC, WORK, CHG ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร คือ UV, KKP, AP, BBL, JMT, ROBINS, GLOBAL หุ้นที่หลุด List คือ DTAC, SEAFCO
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
+ สหรัฐ : ความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านต.ค.ดีขึ้นและการผลิตรถยนต์ & อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์เดือนก.ย. เพิ่ม
# ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านดีด +4 จุด สู่ระดับ 68 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.60
# การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ +0.3% ในเดือนก.ย. โดยได้แรงหนุนจากการผลิตรถยนต์ และอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ ซึ่งบ่งชี้ถึงการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคสหรัฐ
# ดัชนีราคานำเข้าเดือนก.ย. +0.7%MoM ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.59
• สหรัฐ : จับตาประธานเฟดคนใหม่
# นักลงทุนจับตาการแต่งตั้งผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ โดยขณะนี้มีตัวเก็ง 5 คนที่อาจได้รับการพิจารณา ซึ่งได้แก่ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบัน ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนก.พ.61,นายแกรี โคห์น หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของปธน.ทรัมป์, นายเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด, นายเจอโรมพาวเวลาหนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟดสมัยปัจจุบัน และนายจอห์น เทย์เลอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
+ ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ทำนิวไฮ
# ดัชนี DJIA และ S&P500 ทำนิวไฮ ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ และข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 22,997.44 จุด เพิ่มขึ้น 40.48 จุด หรือ +0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,559.36 จุด เพิ่มขึ้น 1.72 จุด หรือ +0.07% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,623.66 จุด ลดลง 0.35 จุด หรือ -0.01%
• ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาทรงตัว
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ขยับขึ้น 1 เซนต์ ปิดที่ 51.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 6 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 57.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ราคาร่วงแรงหลังเงิน US$ แข็งขึ้น
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 16.80 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ระดับ 1,286.20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่น
• กกพ.เปิดรับข้อเสนอโรงไฟฟ้าไฮบริด-รับซื้อ 300 MW
# จับตา 7 หุ้น "SUPER-TPCH-GUNKUL-BGRIM-BCPG-KSL-EGCO" ชิงเค้กโรงไฟฟ้าไฮบริดรวมทั้งหมด 300 MW หลังกกพ.เปิดรับข้อเสนอขายไฟฟ้าแล้วจนถึงวันที่ 20 ต.ค.60 วันแรกยื่นเสนอขายกันแน่น 25 โครงการ กำลังผลิตรวม 541 MW สูงกว่าเป้ารับซื้อ 300 MW ไปแล้ว
• รฟม.เลิกลดค่าโดยสารสีม่วง โดยกลับไปเก็บอัตราปกติ 14-42 บาท เริ่ม 1 พ.ย.นี้
# บอร์ดรฟม.ไฟเขียวยกเลิกส่วนลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยให้กลับไปจัดเก็บอัตราปกติ 14-42 บาท เริ่ม 1 พ.ย.นี้ เพื่อลดภาระอุดหนุนภาครัฐ หลังเปิดเดินรถไฟฟ้าเชื่อมต่อ 1 สถานีส่งผู้โดยสารเพิ่มเฉลี่ยอยู่ที่ 5.2 หมื่นคนต่อวัน
# ความเห็น DBS : ผู้บริหาร BEM ระบุว่าปริมาณผู้โดยสารสายสีม่วงและน้ำเงินเพิ่มขึ้นหลังส่วนเชื่อมเตาปูนเปิดใช้เมื่อส.ค.60 โดยของสายสีม่วงเพิ่มจาก 3 หมื่นเป็น 6 หมื่นคนต่อวัน และถึงแม้ BEM จะไม่ได้รับผลดีโดยตรงจากผู้โดยสารสายสีม่วงเพิ่มขึ้นเพราะรับรู้รายได้เป็นค่าบริหารจัดการคงที่ 1.8 พันล้านบาทต่อปี แต่จะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากจำนวนผู้โดยสารสายสีน้ำเงินที่มากขึ้น (ในเดือนก.ย.60 จำนวนผู้โดยสารสายสีน้ำเงินเพิ่มเป็น 3.19 แสนคนต่อวัน จากเฉลี่ย 2.8 แสนคนต่อวันในงวด 7M60) โดยมีรายได้ค่าโดยสารเฉลี่ย 25 บาท/เที่ยว/คน สำหรับธุรกิจทางด่วนไปได้ดี งวด 9M60 ปริมาณการใช้ทางด่วน +3.9%YoY แต่รายได้ +9.1%YoY เพราะ BEM ได้รับรายได้ 100% ของรายได้ตาม SOE ใหม่ที่เริ่มตั้งแต่ส.ค.60 เทียบกับสัมปทานทางด่วนหลักที่ต้องจ่าย 60% ของรายได้ให้กับการทางพิเศษฯ และขณะนี้กำลังก่อสร้างส่วนเชื่อมระหว่าง SOE กับทางด่วนศรีรัช ซึ่งจะเสร็จในสิ้นปี 61 คาดว่าจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นได้อีก ทั้งนี้รายได้จากทางด่วนคิดเป็น 66% ของรายได้ทั้งหมด (งวด 1H60) แนะนำซื้อ BEM ให้ราคาพื้นฐาน 8.60 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO1403