- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 17 October 2017 20:30
- Hits: 10454
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1700'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET พุ่งขึ้นอีก 14.19 จุดปิดที่ 1726.67 นำโดยกลุ่มธนาคาร คือ BBL ซึ่งมีข่าวดีว่าธนาคารได้ทำสัญญาขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้กับ AIA เป็นเวลา 15 ปี ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารจะเพิ่มขึ้น (ทาง DBS ปรับเพิ่มคำแนะนำ BBL จากถือเป็นซื้อ และปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 222 บาท ซึ่งมี Upside 14%) นอกจากนั้นหุ้นกลุ่มโรงกลั่นก็บวกดีรับผลกำไร 3Q60 ที่คาดว่าจะแข็งแกร่ง ซึ่งหุ้นที่เราให้เป็น Top pick คือ PTTGC
# PTTGC : คาดกำไร 3Q60 จะแข็งกร่ง จากค่าการกลั่นที่ดี U-rate เพิ่มเพราะไม่มีปิดซ่อมบำรุงเหมือนใน 2Q60 รับโอนธุรกิจปิโตรเคมี 6 บริษัทจาก PTT เข้ามาตั้งแต่ 3Q60 สเปรดโอเลฟินส์อยู่ในเกณฑ์ดีและมีกำไรจากสต็อกช่วยหนุน แนะถือ/ซื้อเก็งกำไร แนวต้าน 85, 90 บาท
# DIF : ในการซื้อสินทรัพย์เข้ากองทุนเพิ่มรอบแรกธ.ค.60 DIF ใช้การกู้ยืม 12.9 พันลบ.ส่วนรอบเดือนมิ.ย.61 จะเพิ่มทุน 56 พันลบ.+กู้ 2 พันลบ. คาดเพิ่มทุนไม่เกิน 4,300 ลห. (ราคาเพิ่มทุนไม่เกิน 13 บาท/หุ้น) แนะซื้อ ให้ TP 16.30 บาท คาด Yield ปันผลปี 61-62 ปีละ 7%
# Initial coverage : INOX บริษัทเป็นผู้ประกอบการสเตนเลสรีดเย็นรายเดียวของไทย ครอง Market share 51% ในปี 59 และมีโอกาสขยายได้อีกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนการนำเข้า, การมีลูกค้ากลุ่มยานยนต์เพิ่มทำให้สัดส่วนสินค้าเกรด Premium ที่อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าเกรดทั่วไปกว่า 3 เท่าจะมากขึ้นเป็นลำดับ, บริษัทแม่ คือ พอสโค ช่วยสนับสนุนเรื่องวัตถุดิบ (INOX ซื้อจากบ.แม่ 70%) ทำให้กำไรจะผันผวนน้อยลง, มาร์จิ้นมีโอกาสขยับขึ้นเป็น New normal ที่สูงขึ้นจากอดีต 200-300bps ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เพราะสัดส่วนสินค้าเกรด Premium สูงขึ้น และมี Economy of scales ฐานะเป็นเงินสดสุทธิ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 1.90 บาท
กลยุทธ์ลงทุน : เลือกซื้อ/ถือต่อ เมื่อ SET และราคาหุ้นอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (ระยะสั้นมากให้ฟิวเตอร์ไว้ที่ 1700 จุด) สำหรับหุ้นแนะนำรายสัปดาห์ (11-17 ต.ค.) คือ ERW, MCS ส่วนหุ้น Picks ใน Wealth Perspective-Equity เดือนต.ค.60 คือ ERW, MTLS, KBANK, PTTGC, TISCO และ Dark Horse เป็น COM7
ส่วนหุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ได้แก่ BBL, JMT, IRPC, WORK, CHG, ROBINS, GLOBAL ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อ คือ SENA, PTTGC, RJH, RS, TMB, UV, DTAC, BCH, ROJNA, KKP, AP, SEAFCO ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร คือ BCP, JMART, SINGER, INTUCH, CKP, BEC, BDMS, BH
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
+ ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ปิดบวก...หนุนโดยผลประกอบการไตรมาส 3
# ดัชนี DJIA เพิ่มขึ้น 85.24 จุด หรือ +0.37% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 4.47 จุด หรือ +0.18% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 18.20 จุด หรือ +0.28% ปัจจัยหนุน คือ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3
# จับตาวุฒิสภาสหรัฐที่เตรียมโหวตร่างงบประมาณประจำปี 2561 ในสัปดาห์นี้ เพื่อปูทางสู่การพิจารณากฎหมายปฏิรูปภาษีภายในปีนี้ หลัง 5 ต.ค.60 สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติอนุมัติงบประมาณวงเงิน 4.1 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับปีงบประมาณ 2561
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ขยับขึ้นต่อเพราะกังวลเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 42 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 51.87 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 65 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 57.82 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยข่าวล่าสุดระบุว่ากองกำลังอิรักสามารถยึดครองเมืองเคอร์คุก ภายหลังจากที่กลุ่มกบฏชาวเคิร์ดได้ถอนตัวออกจากเมืองดังกล่าว
• ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ราคาอ่อนตัวลงเล็กน้อย
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.6 ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ระดับ 1,303.00 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงิน US$ แข็งค่าขึ้น
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่น
+ ความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนต.ค.พุ่งขึ้นหลังเงินต่างชาติไหลเข้าและเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น
# นายสันติ กีระนันท์ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนต.ค.60 อยู่ที่ระดับ 162.63 เพิ่มขึ้น 31.02% จากเดือนก.ย.ที่ผ่านมาที่ 124.13 สะท้อนดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือน ข้างหน้าหรือเดือนธ.ค.ว่าอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงและเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือนตั้งแต่มีการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเมื่อเดือนม.ค. 58 ที่ผ่านมา
• รถไฟสีเขียวส่วนต่อขยายยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องภาระหนี้สินและค่าใช้จ่าย
# นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าการโอนหนี้สินและทรัพย์สินค่าก่อสร้างในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ มูลค่า 21,403 ล้านบาท และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต มูลค่า 39,412 ล้านบาทยังไม่ได้ข้อสรุปว่ากทม.จะสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายได้เท่าไร โดยจะประชุมอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพ.ย.นี้ แต่หากยังไม่สามารถสรุปเรื่องการโอนหนี้สินและทรัพย์สิน รฟม.ในฐานะเจ้าของโครงการเสนอแผนระยะสั้นคือ ให้กทม.เปิดเดินรถก่อนแต่ต้องจ่ายค่าเช่าโครงสร้างพื้นฐานให้รฟม.
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]