- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 26 August 2014 16:15
- Hits: 2012
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ต่างชาติสลับขายหุ้นเอเซีย กลยุทธ์ยังเน้นไปที่หุ้นรายตัว โดยเฉพาะที่มีกำไรเด่นงวด 2H57 (HANA(FV@B44), SRICHA([email protected]) และ GFPT(FV@B18)) โดยยังเลือก INTUCH(FV@B100) ตามสถิติในอดีตหุ้นหลัง XD หุ้นจะฟื้นตัวอีกรอบ
ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัว จากความคาดหวังว่ายุโรปจะใช้ QE
แม้ผลการประชุมแจ็คสัน โฮล ในปลายสัปดาห์ที่แล้ว (21 - 23 ส.ค.) จะยังไม่มีผลสรุปต่อการกำหนดกรอบการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ และ อังกฤษ หรือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ในฝั่งยุโรป หรือ ญี่ปุ่น แต่การรายงานตัวเลขดัชนีชี้นำเศรษฐกิจล่าสุดและที่กำลังจะประกาศ โดยเฉพาะอัตราการว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อ ในปลายเดือนนี้ น่าจะเป็นประเด็นที่ตลาดให้น้ำหนัก และเชื่อว่าอาจจะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นโลก
โดยล่าสุด GDP Growth ยุโรป ชะลอตัวลงเหลือ 0.7%yoy จาก 0.9%yoy ใน 1Q57 (ขณะที่ IMF คาดไว้ทั้งปี 2557 1.2% นั่นหมายถึงใน 2H57 ต้องขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าไตรมาสละ 1.6% ซึ่งคาดว่ามีความเป็นไปได้น้อยมาก) ขณะที่อัตราการว่างงานยังสูง 11.5% (ใกล้เคียงกับระดับที่เคยสูงสุด 12%) และอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงโดยยังคงอยู่ในระดับต่ำ 0.4% ซึ่งทำให้ตลาดกังวลว่าอาจจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด และเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ตลาดมีความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ผ่าน QE
แม้ ECB ยังต้องการดูผลของการลดใช้นโยบายดอกเบี้ยนโยบายต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 0.15% และดอกเบี้ยเงินฝากติดลบ 0.1% รวมถึงโครงการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำระยะยาว (Target LTRO) ที่จะมีช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศในระยะสั้น – กลาง อย่างไรก็ตาม สุดสัปดาห์นี้จะมีการรายงานอัตราการว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งตลาดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอ่อนตัวลงมาที่ 0.3% ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นหนึ่งที่จะมีผลต่อการตัดสินใจใด ๆ ของ ECB
ขณะที่สหรัฐ รายงานยอดขายบ้านใหม่ เดือน ก.ค. โดยหดตัวลง 2.4%mom (หดตัวต่อเนื่องเป็นดือนที่ 2 และต่ำสุดในรอบ 4 เดือน) ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยจำนองที่เพิ่มสูงขึ้น และการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ตามถือว่าโดยรวมแล้ว ยังคงอยู่ในภาวะฟื้นตัว เพราะหากเปรียบเทียบกับ ก.ค. 2556 พบว่ายังคงเพิ่มขึ้น 12.3%yoy (เป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน) และ เช่นเดียวกับยอดขายบ้านมือสองที่เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการ เดือน ส.ค. อยู่ที่ระดับ 58.5 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย และลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แต่โดยรวมถือว่ามีการขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามตัวเลขการจ้างงาน และอัตราการว่างงานว่าจะลดลงจาก 6.2% ล่าสุดได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของ FED ต่อการกำหนดทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ หลังจากสิ้นสุดมาตราการ QE ราวเดือน ต.ค. รวมทั้งต้องติดตามการรายงานตัวเลขการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง
การที่เศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้จะอ่อนตัวในช่วงสั้นบ้างดังกล่าวข้างต้น แต่นับว่าแข็งแกร่งกว่า ยุโรป ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่หนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา โดยเช้านี้อยู่ที่ 1.3187 เหรียญฯ ต่อยูโร หรือแข็งค่าราว 6% จากระดับสูงสุด 1.39 ต่อยูโร เมื่อ 7 พ.ค. 2557 (และเช่นเดียวกับ Dollar Index ที่แข็งค่าราว 5% เมื่อเทียบกับ 6 สกุลหลักของโลก) ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดโลกมีความต้องการสกุลดอลลาร์ มากกว่าสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะ ราคาน้ำมันดิบโลก แม้เช้านี้จะฟื้นตัว แต่คาดว่าเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ทั้งนี้นอกเหนือจากปัจจัยกดดันทางด้านปริมาณผลิตน้ำมันดิบที่ออกสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้นอีก 6 หมื่นบาร์เรลต่อวัน จากเดิม 5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากลิเบีย กลับมาส่งออกน้ำมันจากท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี หลังการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มกบฎเป็นผลสำเร็จ และความต้องการ ใช้น้ำมันที่ลดลง เนื่องจากใกล้สิ้นสุดฤดูกาลขับขี่ท่องเที่ยวในสหรัฐ
รัฐบาลใหม่น่าจะเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ต.ค. เป็นต้นไป
วานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี กระบวนการจากนี้ไปจะเป็นการแต่งตั้งรัฐมนตรี ให้ครบองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรี, นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี, นำคณะรัฐมนตรีขึ้นถวายสัตย์ฯ , แถลงนโยบาย ก่อนที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มตัว ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือน ต.ค.2557
และที่สำคัญอีกประการ คือการตั้งสภาปฎิรูปแห่งชาติ ที่มีจำนวนสมาชิก 250 คน ปัจจุบันอยู่ในช่วงการเปิดรับสมัครโดยตัวเลขจำนวนผู้สมัครรับการคัดเลือก 11 วันแรก อยู่ที่ 2,045 คน ซึ่งคาดว่าเมื่อครบกำหนดน่าจะมีจำนวนผู้รับสมัครประมาณ 3,000 คน ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จและตั้ง สปช.ได้สำเร็จในช่วงต้นเดือน ต.ค. 2557 หลังจากนั้นก็จะเดินหน้ากระบวนการในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากการประเมินตามกรอบเวลา คาดว่าทุกฝ่ายสามารถดำเนินการได้ตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด (ไม่เกิดความขัดแย้งจนถึงขั้นต้องเริ่มกระบวนการใหม่บางส่วน) รัฐธรรมนูญน่าจะแล้วเสร็จพร้อมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ช่วงกลางเดือน ก.ย.2558 และจัดการเลือกตั้งปลายปี 2558 ต่อไป
และนับจากต้นเดือน ต.ค.2557 ซึ่งงบประมาณแผ่นดินปี 2558 เริ่มบังคับใช้ คาดว่าน่าจะเห็นการเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยในส่วนของการประมูลงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ควรจะเดินหน้า ซึ่งจะสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อการเก็งกำไรในหุ้นรับเหมาก่อสร้างต่อไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าประเด็นที่ยังเป็นความกังวลของนักลงทุนคือการพิจารณาเรื่องการยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึก ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ ฝ่ายวิจัยประเมินว่าอาจจะยังไม่เห็นการยกเลิกในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากโดยสภาพแวดล้อมแล้ว ยังคงมีความเป็นที่ต้องใช้ในการควบคุมสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคัดค้านการรัฐประหาร, การแก้ปัญหากลุ่มอิทธิพลต่างๆ ตลอดจนการชุมนุมของกลุ่มเรียกร้องต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
ต่างชาติขายสุทธิเล็กน้อย สวนทางกับสถาบัน
วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 แต่ลดลงถึง 88% เหลือเพียงราว 70 ล้านเหรียญฯ โดยเป็นการซื้อสุทธิเพียงประเทศเดียวคือไต้หวัน ที่ยังคงซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7 ราว 146 ล้านเหรียญฯ แต่มูลค่าซื้อสุทธิลดลงจากวันก่อนหน้า 70% ขณะที่เหลือ สลับมาขายสุทธิทั้งหมด กล่าวคือ เกาหลีใต้สลับมาขายสุทธิราว 51 ล้านเหรียญฯ (หลังจากที่ซื้อสุทธิติดต่อกัน 4 วันก่อนหน้า) เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย และไทย ที่สลับมาขายสุทธิ ราว 15 และ 9 ล้านเหรียญฯ (276 ล้านบาท) ตามลำดับ ขณะที่ตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ปิดทำการเนื่องจากวัน National Heroes’ Day
คาดว่าต่างชาติน่าจะเริ่มพักการซื้อระยะสั้น หลังจากที่ซื้อสุทธิต่อเนื่องราว 2 สัปดาห์ก่อนหน้า (ซื้อสุทธิ 3.4 พันล้านบาท แต่จากต้นปีจนถึงปัจจุบันยังคงขายสุทธิ 2.5 หมื่นล้านบาท) และน่าจะรอบทิศทางการกำหนดนโยบายการเงินในยุโรป และสหรัฐ หลังการรายงานตัวเลขอัตราการว่างงานในปลายเดือนนี้ และตรงกันข้าม พบว่านักลงทุนสถาบันไทยยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน รวมมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท ทำให้ตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนกลุ่มนี้มียอดซื้อสุทธิสะสมราว 3.6 หมื่นล้านบาท
กลยุทธ์ยังเน้นหุ้นกำไรเด่น 2H57 และ/หรือ หุ้นปันผลเด่น
ภายใต้ดัชนีตลาดที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และกลับมายืนที่จุดสูงสุดเดิมของปี ยังเชื่อว่าความเสี่ยงต่อการปรับฐานยังมีจึงยังให้เน้นกลยุทธ์เลือกลงทุนเป็นรายหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีผลกำไรโดดเด่นใน 2H57 เช่นที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้าได้แก่ กลุ่มเกษตร CPF, GFPT กลุ่มก่อสร้าง SRICHA, STPI, SYNTEC, BJCHI และสื่อสาร INTUCH, ADVANC ดังที่ได้นำเสนอนับจากสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นปันผลเด่น แม้หลังจากการรายงานงบการเงินงวด 2Q57 เสร็จสิ้นลงไปตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. ที่ผ่านมานั้น และได้เข้าสู่ช่วงการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งได้เริ่มขึ้นเครื่องหมาย XD ตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือน ส.ค. และทยอยจ่ายแล้ว ตั้งแต่ปลายเดือนนี้เป็นต้นไป และฝ่ายวิจัยได้แนะนำกลยุทธ์การลงทุน Dividend Plays ให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นปันผลสูง ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ทั้งนี้จากการศึกษาข้อมูล 10 ปีย้อนหลัง พบว่าส่วนใหญ่ราคาของหุ้นที่มีการจ่ายปันผลมักจะทยอยปรับตัวสูงขึ้นล่วงหน้าราว 1 เดือนก่อนหน้าวันขึ้นเครื่องหมาย XD จากแรงซื้อเพื่อได้สิทธิ์รับเงินปันผล จากนั้นจะอ่อนตัวลงหลังขึ้นเครื่องหมาย XD ราว 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะปรับขึ้นอีกครั้งหลังจาก XD 1 – 2 เดือน อีกราว 1.3 – 1.6% ฉะนั้น หากนักลงทุนที่ได้ขายทำกำไรไปแล้ว และราคาหุ้นอ่อนตัวลงมา ก็น่าจะเป็นจังหวะที่ดีให้เข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งอีกครั้ง ฝ่ายวิจัยแนะนำ INTUCH, ADVANC รวมทั้ง SRICHA และ HANA
ADVANC (ซื้อ: FV@B 250) คาดว่าผลกำไรจะดีขึ้นในครึ่งปีหลังของปีนับตั้งแต่งวด 3Q57 จากความสามารถโอนย้ายลูกค้าจาก 2G ไป 3G ได้ตามเป้าหมาย (อยู่ที่ 80% ของลูกค้าทั้งหมด ณ 2Q57) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนดำเนินงานในลักษณะเดียวกับ DTAC เชื่อว่าปัจจัยกดดันจากการเลื่อนประมูล 4G ออกไป 1 ปีจากนี้ น่าจะสะท้อนในราคาหุ้นไปแล้ว และกรณีที่เลวร้ายคาดว่าจะกระทบต่อฐานลูกค้าราว 1-2% (ทั้งหมด 42 ล้านราย) จึงกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรน้อยมาก เทียบกับปี 2557 และปี 2558 ที่คาดว่าจะกำไรได้ 3.63 หมื่นล้านบาท และ 4.23 หมื่นล้านบาท ทรงตัวจากปี 2556 และ เติบโต 15% ตามลำดับ บวกกับการจ่ายเงินปันผล 6% ต่อปี ขณะที่ราคาปัจจุบันยังมี upside 20%
INTUCH (ซื้อ : FV@B100) คาดว่าผลกำไรจะดีขึ้นในช่วง 6 เดือนที่เหลือ ตามการฟื้นตัวของ ADVANC และ THCOM จากส่งดาวเทียมไทยคม 7 ซึ่งเป็นดวงใหม่ขึ้นสู่วงโคจร เมื่อ ส.ค. ที่ผ่านมา ดังกล่าวข้างต้น โดยรวมแม้ในปีนี้จะมีกำไร 1.47 หมื่นล้านบาท ทรงตัว จากปี 2556 แต่คาดว่าปีหน้าจะกลับมาเติบโตที่ 17% ทั้งนี้ประเมินมูลค่าหุ้นของ INTUCH โดยอิง NAV ตามมูลค่าพื้นฐานบริษัทย่อย (ADVANC 250 บาท และ THCOM 50 บาท) อยู่ที่ 100 บาท ราคาปัจจุบันยังมี upside ถึง 44% และยังจ่ายเงินปันผลสูง 6.4% สูงสุดในกลุ่ม ICT ที่ 6.4%
HANA (ซื้อ : FV@B44) กำไรสุทธิ 2H57 จะเติบโตจาก 1H57 และต่อเนื่องปี 2558 ได้แรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ โทรศัพท์สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2557 จะเติบโตถึง 50.3% ซึ่งได้รวมเงินประกันจากน้ำท่วม 1300 ล้านบาท แต่หากตัดรายการนี้ กำไรปกติยังเติบโต 48.5% ปี 2558 จะเติบโต 23% มีค่า Expected P/E 8.4 เท่าในปีนี้ และ 11.1 เท่าในปีหน้า ขณะที่ราคาปัจจุบันยังมี upside 18.9% และเงินปันผลถึง 4.6%
SRICHA (ซื้อ : FV@B 43.40) งวด 2H57 จะมีแนวโน้มสดใสกว่า 1H57 โดยคาดหวังจะมี backlog ใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้น แม้ ณ สิ้น 2Q57 มี Backlog ต่ำเพียง 553 ล้านบาท โดยขณะนี้ได้รับงานใหม่ (เป็นโครงสร้างเหล็ก) จาก CUEL Limited ซึ่งเป็นงานเร่งด่วนมาก มูลค่างานราว 400 ล้านบาท และในช่วง 6 เดือนหลัง มีแผนประมูลงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า 2 แห่งในพม่า มูลค่า 200 ล้านบาท และ 600 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1 พันล้านบาท ทั้งนี้ไม่นับรวมสัญญาซ่อมบำรุงและดูแลรักษาเครื่องจักรในมาดากัสการ์อีกประมาณ 400 ล้านบาท/ปี และยังรับรู้รายได้จากบริษัทลูกคือบริษัทเอสซีซี เมนเทนแนนซ์ เซอร์วิสเซส จำกัด ปีละ 500-600 ล้านบาททุกปี ขณะที่จุดเด่นอยู่ที่มี Expected P/E 10.8 เท่า และเงินปันผลสูง 7.6% ราคาปัจจุบันยังมี upside 17% (SRICHA วันนี้ขึ้น XD @B1)
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล