WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KTBบล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily

 

ภาพตลาดวันวาน
  ดัชนีเปิดตัวยืนบวก ถือเป็นจุดต่ำสุดของวันที่ 1676.97 จุด เพิ่มขึ้น 3.81 จุด ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงซื้อหลักจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน แบงก์และอสังหาฯ ขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 1691.13 จุด เพิ่มขึ้น 17.97 จุด กรอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 14.16 จุด ทั้งนี้หุ้นที่มี Impact ต่อการปรับตัวขึ้นของดัชนีได้แก่ PTT, CPALL, PTTGC, SCB, CPN, MTLS ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1688.64 จุด เพิ่มขึ้น 15.48 จุด (+0.93%) มูลค่าการซื้อขาย 62,027 ล้านบาท

 

ภาพตลาดวันนี้
  ดัชนีวานนี้ปรับตัวขึ้นได้อย่างร้อนแรงเกินความคาดหมาย ด้วยการเปิดกระโดดข้ามแนวต้านที่แข็งจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่พักตัวในลักษณะ Sideway ร่วม 2 สัปดาห์ ขึ้นทำ New High ในรอบ 23 ปี ที่ 1691 จุด ก่อนที่จะทำปิดที่ใกล้จุดสูงสุดของวันที่ 1688 จุด ซึ่งถือเป็นการเปิด Upside ที่ดัชนีมีโอกาสเข้าใกล้ 1700 จุด แต่อาจมีการสลับพักตัวระหว่างทางได้ ที่ไม่ควรหลุด 1678 จุด มองแนวต้าน 1694-1700 จุด แนวรับ 1672-1680 จุด
  เปิด Upside มีโอกาสทดสอบ 1700 จุด
   Support 1670 // 1660 จุด Resistance 1695-1700 จุด


พรรณนภา เขมะสุรัตน์ Technical Analyst
เลขทะเบียน : 060110 Tel 02- 6481124
Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell

 

'ลุ้นฝรั่งซื้อต่อ เน้นๆ หุ้นใหญ่'
ทิศทางตลาดหุ้นไทย : ดัชนีฯผ่านจุดต้านสำคัญ 1670 จุด และมีสัญญาณไปต่อ .... ช่วงที่ผ่านมา เรามองดัชนีฯมีโอกาสแตะ1690 จุด อยู่แล้ว แต่มีการพักตัวแถวๆ 1670 จุด เพื่อรอแรงซื้อ หลักๆ มาจากการปรับพอร์ตหลัง Fed ปรับนโยบายการเงินผสมแรงขายทำกำไร แต่แรงซื้อการดีดตัวพลิกของตลาดวานนี้ ดันดัชนีฯปิดที่ 1688 จุด นำโดยแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ ในหุ้นหลายๆกลุ่ม โดยเฉพาะพลังงานและธนาคาร ประเด็นที่จุดให้เกิดแรงซื้อรุนแรง น่าจะมาจาก การเข้ามาเก็งกำไรในงบ 3Q และภาพตลาดหุ้นไทยที่ยังดี


กลยุทธ์การลงทุน : ดังที่เรากล่าวไว้ใน weekly strategy สัปดาห์นี้ ว่าตลาดกำลังรอเวลาที่จะ break จาก 1670 จุด แบบแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง และวันนั้นก็มาถึง นักลงทุนสามารถเลือกที่จะถือหุ้นต่อไปได้ .. สำหรับการเข้าลงทุน ในช่วงเวลานี้ คงต้องความสนใจกับหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มหลัก อาทิ BBL , TCAP , PTT, TOP, PTTGC, IVL ขณะที่กลุ่มรอง จะเป็นกลุ่มที่เก็งเรื่องงบ 3Q ว่าจะออกมาดี (BR, MTLS) และหุ้นกลุ่มส่งออก (DELTA, HANA) เป็นผลจากเงินบาท ที่ทยอยอ่อนค่า (ดอลล่าร์แข็งค่าต่อเนื่อง)
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ประจำวัน : สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ DELTA*, BR, MTLS, PTG, ASAP
หุ้นแนะนำทางเทคนิค : COL, RS, TCMC
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์


บทวิเคราะห์และความเห็นข่าวสำคัญ
(0) กลุ่มธนาคาร : คาดกำไรสุทธิรวมใน 3Q17 อยู่ที่ 5.07 หมื่นล้านบาท ลดลง 2.3% YoY แต่เพิ่มขึ้น 11.8% QoQ
(+) AOT : จำนวนผู้โดยสารเดือน ก.ย.2017 เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง


ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (02 ต.ค.) ปิดที่ระดับ 1,688.64 จุด เพิ่มขึ้น 15.48 จุด หรือ +0.93% มูลค่าการซื้อขาย 62,026.90 ล้านบาท ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อจากนักลงทุนจ่างชาติ โดยมีสถานะเป็นซื้อสุทธิที่ 2,869 ล้านบาท คาดยังมองตลาดหุ้นไทยสามารถเติบโตไปได้, คาดผลการดำเนินงาน 3Q17 ยังคงดี, P/E ตลาดปี 2018 จะลดต่ำลง


ตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,557.60 จุด พุ่งขึ้น 152.51 จุด หรือ +0.68% แม้จะเกิดเหตุก่อการร้ายที่เมืองลาสเวกัส แต่ตลาดหุ้นได้รับผลบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีเกินคาด .... เช่นเดียวกับ Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.5% ปิดที่ 390.13 จุด


ปัจจัยต่างประเทศ: ประเด็นบวกจากมาตรการลดกฏระเบียบอุตสาหกรรม, ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาดี แต่มีประเด็นลบจากก่อการร้ายในลาสเวกัส ปัจจัยต่างประเทศมีผลบวกจากสองประเด็นได้แก่ 1) ปธน.ทรัมป์จะมีการเปิดเผยมาตรการปรับลดกฏระเบียบในภาคอุตสาหกรรม และ 2) ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.1 ในเดือนก.ย. จากระดับ 52.8 ในเดือนส.ค. พร้อมทั้ง ดัชนีภาคการผลิตของ ISM พุ่งขึ้นสู่ระดับ 60.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2004 จากระดับ 58.8 ในเดือนส.ค. ... ภาพต่างประเทศยังคงมีปัจจัยลบจากการก่อการร้ายที่ลาสเวกัส โดยซีเอ็นเอ็นระบุว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 59 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 527 คน


ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแต่ยังยืนเหนือ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 50.58 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้เพิ่มการผลิตน้ำมันในเดือนก.ย. (+120 kbd) อย่างไรก็ตามเรายังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบมากขึ้น เป็นบวกต่อผู้ผลิตน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมัน


ปัจจัยในประเทศ : ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ ต่างชาติกลับมามีสถานะซื้อสุทธิ(+2.86 พันล้านบาท) หลังจาก net sell ไปในวันศุกร์ที่ผ่านมาเรามองว่าต่างชาติยังคงให้ความสนใจกับตลาดหุ้นไทยอยู่ เม็ดเงินจากต่างชาติจะยังคงไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


นายกฯ เข้าพบปธน.ทรัมป์ .. เรามองกลุ่มส่งออกและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มสินค้าเกษตร-อาหาร, และกลุ่ม shipping จะได้รับผลบวกจากการที่ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า เขาต้องการที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศไทย แต่อาจมีประเด็นที่ต้องติดตามแนวทางแก้ที่สหรัฐฯขาดดุลการค้าต่อไทย จะออกมาในรูปใด (เดือน มิ.ย. สหรัฐฯขาดดุลการค้าต่อไทย 1.5 พันล้านเหรียญ และไทยอยู่ในลำดับที่ 11 ที่สหรัฐฯขาดดุลการค้ามากที่ที่สุด ; Bloomberg)


Stock in Focus
หุ้น เหตุผล
DELTA*(ราคาปิด 89.00) เรากลับมาสนใจ DELTA อีกครั้ง โดย DELTA จะได้ผลบวกจากการที่ค่าเงินดอลลาร์เริ่มแข็งค่าขึ้น เรามองว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นใน 4Q17 กลับมาดีขึ้น และการที่ปธน.ทรัมป์จะยกระดับการค้ากับไทย (DELTA มีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ 30%) …. คาดกำไรสุทธิ 3Q17 ของ DELTA จะเติบโตขึ้น QoQ และ YoY เนื่องจาก DELTA มีการปรับ Product mix ใหม่ โดยเน้นสินค้าที่ให้อัตรากำไรสูงมากขึ้น …. Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 6,088 ล้านบาท (+10% YoY) …. (ราคาที่เหมาะสม โดย Bloomberg ที่ 86.36 บาท)

BR(ราคาปิด 8.35) มองกำไรของ BR จะสามารถปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วง 4Q17 โดยเรามองไตรมาสสุดท้ายจะเป็นช่วงที่การบริโภคอยู่ในระดับสูงตามเทศกาล ซึ่งจะทำให้ปริมาณการจำหน่ายเป็ดยังอยู่ในระดับสูงใน 4Q17 .... ประมาณการณ์ว่า BR จะมีกำไรปกติเติบโตขึ้น 45% ในปี 2017 มาอยู่ที่ระดับ 457 ล้านบาท .... (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 8.00 บาท / ขณะที่ราคาเหมาะสมโดย Bloomberg ที่ 8.24 บาท)

MTLS(ราคาปิด 36.75) ยังมอง MTLS เป็นหุ้นที่สามารถเติบโตขึ้นได้เรื่อยๆ โดยล่าสุดกำไรสุทธิช่วงที่ผ่านมาสามารถเติบโตได้ดีตามจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น .… คาดกำไรปี 2017 ที่ 2,196 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น +50% YoY โดยเรามองว่าบริษัทยังมีความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ที่สูง และโอกาสเพิ่มทุนที่ต่ำ ย…. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 39.00 บาท)

PTG(ราคาปิด 22.70) เรามองช่วง 2H17 บริษัทจะสามารถเติบโตได้ดี หลังผลประกอบการของ PTG มีการอ่อนตัวลงในช่วง 2Q17 ซึ่งเป็นผลจากฝนที่ตกลงมามาก ในขณะที่ค่าการตลาดเฉลี่ยช่วง 3Q17 อ่อนตัวลงจากช่วง 2Q17 ประมาณ -3.5% แต่ได้ผลบวกจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นมาประมาณ 100 สาขาในช่วง 3Q17 …. Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 1,218 ล้านบาท (+13% YoY) คิดเป็นการเติบโต HoH ถึง +73% HoH ….. นอกจากนี้ PTG ยังมีการลงทุนในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ซึ่งได้แก่ ธุรกิจร้านกาแฟ, Palm Complex, และศูนย์ซ่อมบำรุงรถบรรทุก ซึ่งจะส่งผลให้ PTG เติบโตได้ในระยะยา……ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 28.00 และ Bloomberg ที่ 26.50 บาท

ASAP(ราคาปิด 7.65) ธุรกิจเช่ารถ เพิ่มตามการขยายตัวของภาคธุรกิจ และธุรกิจปรับมาใช้บริการรถเช่า + บริการให้เช่าระยะสั้น ตอบสนองต่อลูกค้าแต่ละกลุ่ม รวมทั้ง นักท่องเที่ยวด้วย …. คาดกำไรสุทธิ 3Q17 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง (2Q=34 ลบ.) ตามยอดซื้อรถยนต์ให้เช่าที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไตรมาส ละ 800 - 1,000 คัน ... กำไรสุทธิ ปี 2017 เราคาดไว้ที่ 122 ล้านบาท (+74.4%YoY) และปี 2018 ที่ 187 ล้านบาท (+53.3%YoY) มาจาก คาดจำนวนรถให้เช่า อยู่ที่ 9.7 พันคัน +29% YoY ราคารถยนต์มือสองสูงขึ้น เพิ่มกำไรจากการขายรถ (ปี 2017 เพิ่มจาก 8.0% เป็น 8.5%) แผนงานขายรถยนต์มือสอง ทางออนไลน์ และลงทุนระบบ CarPro System เพื่อบริหารจัดการการจองรถให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น … (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 9.0 บาท)
Source: KTBST Research


Sector / Stock Updates
(+) AOT แนวโน้มสถิติการบินของ AOT เดือน ก.ย.2017 ยังคงแข็งแกร่ง คาดจำนวนผู้โดยสารเติบโต 10.8% YoY ซึ่งเป็นอัตราการเติบโต YoY สูงสุดในรอบปี จากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นถึง 13% YoY โดยเฉพาะจากผู้โดยสารจีนที่กลับมาเติบโตแข็งแกร่ง ส่วนจำนวนเที่ยวบินจะเพิ่มขึ้น 5.2% YoY รวมงบการเงินปี 2017 (ต.ค.2016-ก.ย.2017) คาดจำนวนผู้โดยสารเติบโต 7.7% YoY เป็น 129 ล้านคน และจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้น 6% YoY ทั้งนี้ เราคาดว่าจำนวนผู้โดยสารงวดเดือน ต.ค.-ธ.ค.2017 จะยังคงเติบโต YoY ได้อย่างโดดเด่น เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัว และฐานผู้โดยสารปีก่อนที่ต่ำ เพราะเป็นช่วงเริ่มได้รับผลกระทบจากการปรามปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ ในแง่กำไรสุทธิ 4Q17 (ก.ค.-ก.ย.2017) คาดชะลอตัวจากค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่รวมทั้งปี 2017 (ต.ค.2016-ก.ย.2017) คาดยังโตได้ 4% YoY และปี 2018 (ต.ค.2017-ก.ย.2018) คาดจะเติบโตดีขึ้น 23% YoY เรายังคงแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 64 บาท
(0) กลุ่มแบงก์ คาดกำไรสุทธิรวมใน 3Q17 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 5.07 หมื่นล้านบาท ลดลง 2.3% YoY แต่เพิ่มขึ้น 11.8% QoQ โดยการหดตัว QoQ เกิดจากการตั้งสำรองหนี้สูญที่ยังคงกดดันอยู่ ขณะที่เพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากฐานต่ำจาก KTB ที่มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญเพิ่มเติมของ EARTH ด้านสินเชื่อใน 3Q17 คาดปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 3.2% YoY จากสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อบ้าน ขณะที่ NPL Ratio คาดยังคงเพิ่มขึ้นต่อใน 3Q17 และจะทำจุดสูงสุดในช่วง 4Q17 ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็น "เท่ากับตลาด" โดยเลือก BBL และ TCAP เป็น Top Pick โดยชอบ BBL เพราะเป็นผู้นำด้านสินเชื่อรายใหญ่ (สัดส่วนสูงถึง 41% ของสินเชื่อรวม) ซึ่งจะได้รับผลดีโดยตรงจากการเร่งการลงทุนของภาครัฐ ให้ราคาเป้าหมายในปี 2018 ที่ 222 บาท อิง P/BV ที่ 1x ส่วน TCAP ในแง่ของการเติบโตของกำไรสุทธิที่ทำได้โดดเด่นกว่ากลุ่ม ประกอบกับ มีหนี้เสียที่อยู่ในระดับต่ำ ราคาเป้าหมายในปี 2018 ที่ 56 บาท อิง P/BV ที่ 1x


Source: KTBST Research
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]

Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!