- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 02 October 2017 16:48
- Hits: 2628
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตลาดทรงตัวเท่ากับวันปิดก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดของวันที่ 1664.43 จุด ลดลง 1.93 จุด ก่อนที่จะค่อย ๆ แกว่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แรงซื้อหลักจากหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ อสังหาฯ และแบงก์ ขึ้นทำจุดสูงสุด 1676.48 จุด เพิ่มขึ้น 10.12 จุด กรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 12.05 จุด ทั้งนี้หุ้นที่มี Impact ต่อการปรับตัวขึ้นของดัชนีได้แก่ ESSO, GL, SCC, CPF, IVL, HMPRO, CPN, MBK ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1673.16 จุด เพิ่มขึ้น 6.80 จุด (+0.41%) มูลค่าการซื้อขาย 57,037 ล้านบาท
ภาพตลาดวันนี้
ตลอดสัปดาห์ดัชนีมีทิศทางแกว่งตัวผันผวนในลักษณะออกข้าง ที่มีกรอบการเคลื่อนไหว 1657-1676 จุด ซึ่งกลางสัปดาห์ดัชนีมีทิศทางพร้อมที่จะพักตัวลง แต่วันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันสิ้นเดือนและสิ้นไตรมาส ทำให้มีแรงซื้อดัชนีขึ้นยืนบวกได้อย่างต่อเนื่องที่มี High 1676 จุด และทำปิดที่ใกล้วจุดสูงสุดของวันที่ 1673 จุด ทำให้ภาพโดยรวมกลับมาดูดีอีกครั้ง มีโอกาสขึ้นทดสอบ High ล่าสุดที่ 1678 จุด หรืออาจจะฝ่าขึ้นไปยืน 1680 จุดได้เช่นกัน ระยะสั้นมีแนวรับ 1660-1667 จุด แนวต้าน 1678-1682 จุด
แกว่งตัวผันผวน – มีโอกาสทดสอบ High 1678 จุด
Support 1660 // 1654 // 1640 จุด Resistance 1680 //1690 จุด
พรรณนภา เขมะสุรัตน์ Technical Analyst
เลขทะเบียน : 060110 Tel 02- 6481124
Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
'รอ แต่เก็งงบไปพลางๆ'
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ยังเป็นช่วงของการปรับฐาน และ sideway จนกว่าแรงขายจะชะลอลง กรอบการเคลื่อนไหว 1650-1680 .... การปรับพอร์ตของนักลงทุนรับ Fed ปรับนโยบายการเงิน และสถานการณ์เกาหลีเหนือ เป็นตัวแปรสำคัญของต่างประเทศ ขณะที่ของไทยเอง จะมีการเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q-17 ซึ่งจะทำให้มีการเข้ามาลงทุนในหุ้นที่ถูกคาดว่ากำไรจะดีกันมากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน : ตลาดกำลังรอเวลาที่จะ break จาก 1670 จุด แบบแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง หากดัชนีฯ ต่ำกว่า 1660 จุด นักลงทุนระยะยาวให้ลดพอร์ต สำหรับนักเก็งกำไรช่วงสั้น เราแนะให้รอซื้อเมื่อตลาดมีแรงซื้ออย่างจริงจังเข้ามาอีกครั้ง .... ในเชิงกลยุทธ์ การลงทุนในสัปดาห์นี้ ต้องเน้นเล่นสั้น สลับกลุ่มเล่นแบบรายวัน น้ำหนักของกลุ่มที่เราให้ความสนใจมากที่สุด จะไปเน้นที่หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หุ้นที่ผลประกอบการ 3Q ที่จะออกมาดี และหุ้นที่ยังมีความ laggard
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : PTG, HANA, RJH, TOP, ASAP
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค : AAV, MC, TKN, SMT, DELTA
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเครำห์
ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,673.16 จุด ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่ 14.11 จุด หรือ +0.85% มีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามา แต่ต่างชาติกลับมามีสถานะขายสุทธิอีกครั้ง ปัจจัยต่างประเทศ GDP สหรัฐฯรายงานมาสูงกว่าคาดเล็กน้อย ในขณะที่ปัจจัยในประเทศ กนง.คงดอกเบี้ย ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด ขณะที่กังวลหุ้นกลุ่มธนาคารจากเกณฑ์ใหม่ของ ธปท.
ปัจจัยที่ควรติดตาม
ปัจจัยต่างประเทศ ค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่า, และการประชุม ECB
1) ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า - Fed ส่งสัญญาณที่ชัดเจน ว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ พร้อมทั้งโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยสำรวจโดย Bloomberg เพิ่มขึ้นเป็น 66% และการประกาศตัวเลขที่ชัดเจนของมาตรการลดภาษีของทรัมป์ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง โดย Dollar Spot Index ปรับตัวขึ้นมาจาก 92 เป็น 93 จุด ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์อ่อนค่าลงตามลำดับ .... เรามองค่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าไปมากกว่านี้ เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกไทยและหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แต่เป็นลบจากต่างชาติอาจขายหุ้นเพราะค่าเงินอ่อนลง
2) 5 ต.ค. จับตาประชุม ECB -โอกาสขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป(ECB) สำรวจโดย Bloomberg อยู่ในระดับที่ต่ำ เพียง 0.5% อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่ ECB จะส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย และหยุดการทำ QE ซึ่งจะเป็นลบต่อตลาดหุ้นโดยรวม ที่ผ่านมามีการระบุว่า ECB จะหยุดการทำ QE ในช่วงประมาณ ไตรมาส 1 ปี 2018
ปัจจัยในประเทศติดตามกระแสเงินจากต่างประเทศและการ preview หุ้นกลุ่มแบงก์
1) ต่างชาติเริ่มมีสถานะเป็นขายสุทธิ - สัปดาห์ที่ผ่านมาต่างชาติเริ่มมีสถานะสุทธิเป็นขาย 2.2 พันลบ. อีกทั้งยังมีสถานะเป็น short position ใน SET50 Futures อาจเป็นสัญญาณว่าต่างชาติจะมีการขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทย
2) การ preview หุ้นกลุ่มธนาคาร -เราทำ preview งบไตรมาส 3 หุ้นธนาคารได้แก่ TISCO และ TCAP ทั้ง 2 ตัวคาดว่าจะมีผลประกอบการออกมาดี สำหรับสัปดาห์นี้ คาดจะมีการ preview ของหุ้นกลุ่มแบงก์ที่เหลือ คาดกำไรจะเติบโต QoQ หลังการตั้งสำรองของ KTB ลดลง
3) ดัชนีผลผลิตอุตฯ ส.ค. +3.74% สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) เดือน ส.ค. อยู่ที่ระดับ 112.94 เพิ่มขึ้น 3.74% ขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือน อัตราการใช้กำลังการผลิต 62.46% เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และกระตุ้นการบริโภค เช่น ออกบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งการส่งออกภาคเกษตรเริ่มมีมากขึ้น และช่วงปลายปีภาคการผลิตจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วง พ.ย. เพื่อส่งมอบลูกค้าช่วงเทศกาลปลายปี
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
Fund Flow สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นและพันธบัตรของเอเซีย พบว่านักลงทุนต่างประเทศมีตัวเลขเป็น Net sell เหตุผลหลักๆ คือต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน คือ Fed จะเริ่มลด QE ตั้งแต่เดือน ต.ค. ตลาดที่ถูกขายหนักคือ อินเดีย แต่กลับมาซื้อที่ ฟิลิปปินส์-ไต้หวัน ......สัปดาห์นี้ มีเรื่องเกาหลีเหนือเข้ามากวนอีก จึงมีแนวโน้มเป็น net sell ต่อ
ปัจจัยสำคัญของสัปดาห์นี้ (02-06 ต.ค. 60)
ในมุมของ SET Index ที่ปรับขึ้นมาต่อเนื่องแทบไม่พักถึง 6% และกำลังทดสอบจุดต้าน ที่ระดับ 1670 จุด เรายังประเมินแนวรับสำคัญของดัชนีฯไว้ที่ 1650 จุด คือเป็นจุดที่ควรเริ่มซื้อหุ้นกลับ ตัวแปร ที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้ และอาจเปลี่ยนแนวรับ-ต้านของดัชนีฯ อาทิ
การไหลออกของเงินทุนต่างชาติในตลาดเอเซีย จะยังมีต่อหรือไม่ การแข็งค่าของดอลล่าร์ กดค่าเงินให้อ่อนลง จะกระตุ้นให้มีการขายมากขึ้น (บาทยิ่งอ่อน ฝรั่งจะยิ่งขาย)
การประชุม ECB 5 ต.ค. ถ้า ECB เดินตามรอย Fed คือ ระบุวันที่จะลด QE จะเป็นลบต่อตลาด
สหรัฐฯ ร่างกฎหมาย Healthcare และผลการลงมติ หากสามารถผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ รวมทั้งนโยบายภาษี ทั้งสองมีผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯและค่าเงินดอลล่าร์
เกาหลีเหนือย้ายที่ตั้งขีปนาวุธ รัฐมนตรีของสหรัฐฯหารือจีน ตอนนี้ยังเป็นสงครามน้ำลาย แต่อุณหภูมิที่ยังคุกกรุ่น เป็นลบต่อ Fund Flow ส่งเกตุราคาทองคำ ถ้าสูงขึ้นจะเป็นลบ นักลงทุนพุ่งความสนใจไปในช่วง 10-18 ต.ค.นี้ ซึ่งตรงกับวันครบรอบการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของเกาหลีเหนือ
ตลาดหุ้นเข้าสู่เดือนของการเก็งงบ 3Q อย่างเต็มรูปแบบ นำโดยหุ้นธนาคาร จากผลสำรวจ Bloomberg กลุ่มธนาคาร คาดกำไร -0.6% YoY ; +13.7% QoQ และกำไรตลาด คาด +9% YoY ; +3% QoQ หากกำไรตลาดเป็นตามคาด จะทำให้ current P/E ลดจาก 17.9x ในปัจจุบัน เหลือ 17.0x (SET Index =1673 จุด)
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯ ยังเป็นช่วงของการปรับฐาน และ sideway จนกว่าแรงขายจะชะลอลง กรอบการเคลื่อนไหว 1650-1680 .... การปรับพอร์ตของนักลงทุนรับ Fed ปรับนโยบายการเงิน และสถานการณ์เกาหลีเหนือ เป็นตัวแปรสำคัญของต่างประเทศ ขณะที่ของไทยเอง จะมีการเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q-17 ซึ่งจะทำให้มีการเข้ามาลงทุนในหุ้นที่ถูกคาดว่ากำไรจะดีกันมากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน : ตลาดกำลังรอเวลาที่จะ break จาก 1670 จุด ขึ้นไปแบบไม่ลงอีกครั้งหนึ่ง .....หากดัชนีฯ ต่ำกว่า 1660 จุด นักลงทุนระยะยาวให้ลดพอร์ต สำหรับนักเก็งกำไรช่วงสั้น เราแนะให้รอซื้อเมื่อตลาดมีแรงซื้ออย่างจริงจังเข้ามา .... การลงทุนในสัปดาห์นี้ ต้องเน้นเล่นสั้น สลับกลุ่มเล่นแบบรายวัน น้ำหนักของกลุ่มที่เราให้ความสนใจมากที่สุด จะไปเน้นที่หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หุ้นที่ผลประกอบการ 3Q ที่จะออกมาดี และหุ้นที่ยังมีความ laggard
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์ #
เป็นเดือนของพระราชพิธีสำคัญของไทย กิจกรรมด้านบันเทิง ทีวี วิทยุ โฆษณา และ Event จะลดลง
2 ต.ค. นายกรัฐมนตรี เข้าพบประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดมีประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นในตลาด คือ เรื่องประมงและการละเมิดสิทธิบัตร หุ้นที่เกี่ยวข้อง จะเป็น ธุรกิจอาหารทะเลและ ICT
แรงซื้อเข้าในกลุ่มโรงไฟฟ้า (ยกเว้นที่เน้นพลังงานทดแทน) มากขึ้น ส่งสัญญาณว่า นักลงทุนมองหาหุ้นความเสี่ยงต่ำ หุ้นที่น่าลงทุนของกลุ่ม WHAUP , EGCO
หุ้นอิงท่องเที่ยว และกำลังซื้อฟื้นตัว ราคาหุ้นส่วนใหญ่ขึ้นมามาก ระวังถูกขายทำกำไร เราสนใจหุ้น AAV
ค่าเงินบาท ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า หุ้นกลุ่มส่งออก-ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง คาดราคามีแนวโน้มฟื้นตัวต่อ ล่าสุดเงินบาท 33.29 บาท/ดอลล่าร์ หุ้นที่เราให้ความสนใจ อาทิ HANA, DELTA, HTECH
ราคาน้ำมันดิบ ดีดตัวขึ้นมาเหนือ $50 เหรียญได้ ดีเกินคาด (วันศุกร์ปิด $51.6) ..... หุ้น PTTEP น่าจะเป็นบวกมากที่สุด หากไม่ติดในเรื่องสัปทานใหม่ที่กำลังรอคอยกัน นักลงทุนจึงอาจหันเหไปที่กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันแทน เนื่องจาก ค่าการกลั่นน้ำมันอยู่ในระดับสูง ค่าการกลั่นน้ำมัน (base GRM) ไตรมาสที่ 3 น่าจะสูงกว่าไตรมาสที่สอง ประมาณ $2 เหรียญ (เฉลี่ยที่ $7.8 เหรียญ/บาร์เรล) และมี stock gain ในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าการกลั่นฯที่เพิ่มขึ้น หุ้นที่คาดได้อานิสงค์ TOP, SPRC, ESSO, BCP ........... สัปดาห์ก่อนเราแนะนำ take profit หุ้น P/E อย่างเช่นหุ้นปิโตรเคมี จาก P/E (กังวลฝรั่งขายหุ้น) หากราคาน้ำมันขึ้นต่อ อาจเป็นลบต่อหุ้นกลุ่มนี้ด้วย
หุ้นที่กำไร 3Q-17จากการสำรวจโดย Bloomberg ที่คาดว่าจะออกมาดี มีการเติบโต อาทิ TK, BR, UTP, AU, ANAN , PCSGH , SPRC เป็นต้น
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]