- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 29 September 2017 16:58
- Hits: 1346
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตลาดยืนบวกเล็กน้อย แกว่งตัวผันผวนขึ้นทำจุดสูงสุดของวันที่ 1675.32 จุด เพิ่มขึ้น 5.05 จุด ก่อนที่จะเผชิญแรงขายหนักจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน อาหาร และอสังหาฯ กดดัชนีไหลลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่แดนลบ ลงทำจุดต่ำสุดของวันที่ 1660.29 จุด ลดลง 9.98 จุด ทำให้มีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 15.03 จุด ทั้งนี้หุ้นที่มี Impact ต่อการปรับตัวลงได้แก่ PTT, SCC, BANPU, KBANK, ASIAN, GL ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1666.36 จุด ลดลง 3.91 จุด (-0.23%) มูลค่าการซื้อขาย 61,530 ล้านบาท
ภาพตลาดวันนี้
ดัชนีวานนี้ไม่สามารถไปต่อได้ เลือกที่จะปรับฐานอีกครั้ง หลังจากเผชิญแนวต้าน 1675 จุด ที่ขึ้นมาทดสอบ 2 ครั้งแล้วยังไม่สามารถผ่านได้ ทำให้เกิดแรงขายกดดัชนีไหลลงมาทำ Low ที่ 1660 จุด ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นมาทำปิดที่ 1666 จุด ซึ่งเป็นบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 5/10 วัน ถึงดัชนีจะสามารถขึ้นกลับขึ้นมาได้ แต่เริ่มมีสัญญาณเตือนในเชิงลบมากขึ้น ทำให้มีโอกาสพักตัวลงสลับการการดีดกลับได้ระยะระหว่างทาง โดยแนวรับ 1654-1660 จุด แนวต้าน 1670-1674 จุด
เริ่มมีสัญญาณเตือนในการโอกาสปรับฐาน
Support 1654 // 1640 // 1634 จุด Resistance 1680 //1690 จุด
พรรณนภา เขมะสุรัตน์ Technical Analyst
เลขทะเบียน : 060110 Tel 02- 6481124
Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
Fund Flow (out) เราถอยตาม
ทิศทางตลาดหุ้นไทย : คาดดัชนีฯ ยังคงอยู่ในช่วงของการพักฐาน หลังปรับตัวขึ้นมามาก จึงมีการขายทำกำไรเกิดขึ้น ... โอกาสที่ดัชนีฯ จะผ่าน 1670 จุด ในสัปดาห์นี้ ยังมีน้อย ตัวแปรที่มีผลต่อตลาด อาทิ Fed จะเริ่มลด QE ตั้งแต่เดือน ต.ค.ส่งผลให้นักลงทุนมีการปรับพอร์ตทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตร เห็นได้จากแรงขายในตลาดเอเซียหลังจากการประชุม Fed เป็นต้นมา แรงขายหุ้นกลุ่มส่วนใหญ่ของกลุ่ม พลังงาน-ปิโตรเคมี ที่ปรับขึ้นมามาก ขณะที่แรงขายหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ถูกกดดันจากประกาศ ธปท.เรื่องแนวทางกับธพณ.ที่มีนัยยะฯ
กลยุทธ์การลงทุน : แม้ตลาดจะมีปัจจัยหนุนในเรื่องของเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่แรงขายทำกำไรของนักลงทุน เป็นลบสั้นๆต่อตลาด โดยเรามองแนวรับของดัชนีฯ ว่าไม่น่าจะหลุดจาก 1650จุด กลยุทธ์ช่วงสั้นๆ เลือกขายทำกำไรหุ้นที่ขึ้นมามากโดยขาดปัจจัยบวกที่ชัดเจน หรือรอซื้อเมื่อตาดหลุดจากการปรับฐาน ..... แต่ถึงกระนั้น การเข้าเก็งกำไรช่วงสั้น เราเห็นว่า หุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ทั้งเรื่องของผลประกอบการ หรือผลบวกจากเงินบาทอ่อนค่า (ล่าสุด 33.4 บาทต่อดอลล่าร์) หรือหุ้นที่เป็น Domestic Play รับการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ นั้น ยังจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนวันนี้
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ประจำวัน : สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ HANA, TCAP, SEAFCO, FPI*, TK
หุ้นแนะนำทางเทคนิค : JMT, TKN, TIPCO
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
บทวิเคราะห์และความเห็นข่าวสำคัญ
(+) TCAP : คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.69 พันล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง +14.4% YoY และ +1.1% QoQ
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (28 ก.ย.) ปิดที่ระดับ 1,666.36 จุด ลดลง 3.91 จุด หรือ -0.23% มูลค่าการซื้อขาย 61,529.54 ล้านบาท ปริมาณซื้อขายสูง ตลาดมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ โดยต่างชาติมีปริมาณขายสุทธิที่ 2,855.72 ล้านบาท
ตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,381.20 จุด เพิ่มขึ้น 40.49 จุด หรือ +0.18% ตลาดปรับตัวขึ้นได้จากกลุ่มธุรกิจการเงินและธุรกิจขนาดเล็กจากความหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ของ ปธน.ทรัมป์ .... เช่นเดียวกับ Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.2% แตะที่ระดับ 386.36 จุด
ปัจจัยต่างประเทศ: มองมาตรการปฎิรูปภาษีสหรัฐฯเกิดขึ้นได้ยาก, รายงาน GDP สหรัฐฯเป็นบวก ปธน.ทรัมป์เสนอให้มีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6% แม้ประเด็นดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้น แต่เรามองว่าโอกาสที่จะผ่านร่างในช่วงเวลาอันสั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเพดานหนี้ของสหรัฐฯยังอยู่ระดับสูง เราจึงไม่ให้น้ำหนักต่อประเด็นดังกล่าวมากนัก .... ด้านการรายงาน GDP สหรัฐฯ เรามองเป็นบวกเล็กน้อยจากตัวเลขที่รายงานมาสูงกว่าคาด โดย GDP ไตรมาสที่ 2 ของสหรัฐฯ ขยายตัว 3.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ระดับ 3.0% และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 3.0%
ราคาน้ำมันดิบปรับมีทิศทางที่ดี เป็นบวกต่อหุ้นไทย สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 58 เซนต์ หรือ -1.1% ปิดที่ 51.56 ดอลลาร์/บาร์เรล จากการขายทำกำไรหลังมีการปรับตัวขึ้นมากขึ้นก่อนหน้านี้ โดยเรายังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบมากขึ้นหลังกลุ่ม OPEC มีการตกลงปรับลดกำลังการผลิต ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นผู้ผลิตน้ำมันอย่าง PTTEP
ปัจจัยในประเทศ: รอปัจจัยใหม่เข้ามากระทบตลาด, มีความกดดันจากแรงขายของต่างชาติ ยังไม่มีปัจจัยบวกที่มีนัยยะสำคัญเข้ามากระทบตลาด โดยมีประเด็นบวกสำหรับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ EEC หลังมีข่าวว่า กระทรวงพาณิชย์จะตั้งคณะกรรมการร่วม ไทย-สหรัฐฯ เพื่อร่วมลงทุนใน EEC เป็นบวกต่อหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับ EEC เช่น AMATA, TICON, TFD, WHA ... มองตลาดหุ้นไทยมีแรงกดดันจากแรงขายหุ้นของต่างชาติ วานนี้มีต่างชาติมีปริมาณขายสุทธิที่ 2,855.72 ล้านบาท สูงที่สุดนับตั้งแต่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาในช่วงเดือน ก.ย. มองเป็นลบต่อตลาด
Stock in Focus
หุ้น เหตุผล
HANA(ราคาปิด 48.50) ราคาหุ้นเริ่มมีสัญญาณการฟิ้นตัวจากการคาดการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ล่าสุด 33.4 บาทต่อดอลล่าร์ .... ไตรมาส 3 จะเป็นช่วง High season ของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่า HANA จะมีผลประกอบการ 2H17 สูงกว่า 1H17 คาดกำไรสุทธิทั้งปี 2017 ที่ 2,932 ล้านบาท เติบโต 39.3% YoY …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 57.00 บาท)
TCAP(ราคาปิด 48.50) คาดว่านักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรสำหรับผลประกอบการ 3Q17 โดยเราคาด TCAP จะเติบโตได้ดีในช่วง 3Q17 ทั้ง YoY และ QoQ จากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญที่กลับสู่ภาวะปกติหลังจากหมดโครงการรถคันแรก .... คาดการเติบโตในปี 2017-2018 ที่ 15.8% และ 12.0% YoY ตามลำดับ …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 56.00 บาท)
TK(ราคาปิด 13.30) บริษัทประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ โดยคาดว่าสินเชื่อเช่าซื้อบริษัทจะขยายตัว 13.7% และ 9.9% ในปี 2017-2018 ตามลำดับ จากการกลับมาฟื้นตัวของยอดขายรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ และการขยายสาขา …. คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2017 ที่ 516 ล้านบาท เติบโต +20% YoY …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 14.00 บาท)
SEAFCO(ราคาปิด 15.90) เราเริ่มกลับมาให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มรับเหมาฯมากขึ้นหลังโครงการภาครัฐเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น และการประมูลจะมีอีกมากในช่วงหลังจากนี้ที่ประมาณ 130,000 ล้านบาท โดยมองว่า SEAFCO ยังคง laggard จากหุ้นกลุ่มรับเหมาฯตัวอื่น .... บริษัทมีความน่าสนใจด้านมูลค่า backlog ที่สูงกว่า 1,800 ล้านบาท รองรับรายได้ประมาณ 1 ปี ซึ่ง Bloomberg คาดกำไรสำหรับปี 2017 ที่ +37% YoY ที่ 214 ล้านบาท .... (ราคาที่เหมาะสม โดย Bloomberg ที่ 16.67 บาท)
FPI(ราคาปิด 4.74) FPI เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตจากพลาสติก .... เป็นอีกบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากมีการขายในต่างประเทศ และรายได้จากการขายให้ในกลุ่ม OEM ที่ลดลง กำไร 6M-17 109 ลบ. ลดลง 21% YoY ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง .... แผนการดำเนินงานครึ่งปีหลังปี 2017 ของบริษัทฯ จะเน้นการเติบโตจากงานรับจ้างผลิต (OEM) ในประเทศยุโรป อเมริกา และออสเตรเลียมากขึ้น ทั้งนี้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากลูกค้ากลุ่มดังกล่าวแล้ว 400-500 ล้านบาท ระยะสัญญาการผลิตและจำหน่าย 2 ปี .… บริษัทคาดแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังปี 2017 จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก จากแนวโน้มเงินบาท ที่คาดจะไม่แข็งค่าไปกว่านี้ และการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีการรับรู้ผลกำไรจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าชีวมวล จังหวัดนราธิวาส กำลังการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ (FPI ถือสัดส่วนหุ้น 33%) นอกจากนี้บริษัทจะเริ่มทยอยส่งมอบสินค้าในกับลูกค้าในประเทศอินเดียเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 3/2560 เป็นต้นไป ดังนั้นบริษัทคาดทิศทางผลประกอบการครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างเห็นได้ชัด
Source: KTBST Research
Sector / Stock Updates
(+) กลุ่มสายการบิน แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผย หลังจาก ICAO เข้ามตรวจประเมินปัญหาการบินของไทยระหว่างวันที่ 20-27 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่าผลการตรวจมีแนวโน้มที่ดี ทั้งนี้ ICAO จะแจ้งผลตรวจประเมินอย่างเป็นทางการมายังประเทศไทยภายในกลางเดือน ต.ค. (นสพ.ข่าวหุ้น)
ประเด็นดังกล่าวยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อกลุ่มสายการบินที่ต้องจับตา ซึ่งหากผ่านการตรวจประเมินและปลดธงแดงคาดว่าจะส่งผล sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มสายการบิน และจะช่วยปลดล็อกเส้นทางบินที่สำคัญได้ ซึ่งเรามองจะเป็นบวกต่อ NOK มากสุด ซึ่งจะทำให้นกสกู๊ตสามารถขยายเส้นทางบินตามแผนเดิมที่เคยวางไว้ และจะส่งผลบวกต่อ THAI ที่ถือหุ้นใน NOK ด้วย ทั้งนี้ เรายังให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด โดยหุ้น Top Pick ได้แก่ AAV เป้าหมาย 7.40 บาท โดยคาดกำไรสุทธิ 2H17 กลับมาเติบโดดเด่น และจะได้ผลบวกมากสุดจากนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาฟื้นตัวและเติบโตสูงใน 4Q17
(+) KTB ผลการพิพากษาคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ ธ268/2549 คดีหมายเลขแดงที่ ธ2687/2550 โดยศาลแพ่งพิพากษาให้ AQ ชำระเงินให้กับ KTB จำนวนเดียวกันกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 8,369 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 10% นับตั้งแต่ 31 พ.ค.2557 ซึ่งหากไม่ชำระ KTB มีสิทธิ์นำหลักทรัพย์ค้ำประกันขายทอดตลาดได้
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจาก KTB จะได้รับหนี้คืนกลับมาไม่ว่าจะเป็นทางไหน ทั้งนี้ เราคาดว่า หาก AQ มีเงินมาชำระหนี้ให้ KTB จะได้เงินราว 11,500 ล้านบาท upside ต่อราคาหุ้น 0.4 บาท หรือคิดเป็น 2% แต่กรณีที่ AQ ไม่มีเงินมาชำระหนี้ KTB ยังมีสิทธิที่จะนำที่ดินจดจำนองที่เป็นหลักประกันจำนวน 4,323 ไร่ 1 งาน 55.90 ตารางวา มาขายทอดตลาดได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการขาย เราแนะนำเพียง "ถือ" สำหรับ KTB ราคาเหมาะสมในปี 2018 ที่ 21 บาท เพราะยังมองเห็นความเสี่ยงในการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญเพิ่มเติมในช่วง 4Q17 ที่เกิดจากกลุ่มลูกค้า SME ที่ทำธุรกิจโรงสีข้าว เนื่องจากมีการขาดทุนสต๊อค
Source: KTBST Research
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]