- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 26 September 2017 16:56
- Hits: 1229
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตลาดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะอ่อนตัวไหลลงมาเข้าสู่แดนลบ มีจุดต่ำสุดของวันที่ 1657.78 จุด ลดลง 1.27 จุด ขณะเดียวกันเริ่มมีแรงซื้อจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ขนส่ง และแบงก์ดันดัชนีขึ้นยืนบวก ก่อนที่จะขึ้นทำจุดสูงสุดช่วงท้ายตลาดที่ 1669.07 จุด เพิ่มขึ้น 10.52 จุด กรอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 11.79 จุด ทั้งนี้หุ้นที่มี Impact ต่อการปรับตัวขึ้นของดัชนีได้แก่ BANPU, CBG, KBANK, BEAUTY, KCE, BCPG, PTT ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1667.59 จุด เพิ่มขึ้น 8.54 จุด (+0.51%) มูลค่าการซื้อขาย 50,539 ล้านบาท
ภาพตลาดวันนี้
ดัชนีวานนี้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาหลังจากที่ทิ้งตัวลงแรงในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยลงไปทำ Low ที่ 1657 จุด (EMA 10 วัน) ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นมาทำ High 1669 จุด และทำปิดที่ใกล้จุดสูงสุดของวันที่ 1667 จุด จากภาพของดัชนีที่ฟื้นตัวมานั้น ทำให้มีโอกาสไปต่อ แต่การที่จะลบล้างภาพของการพักตัวลงของสัปดาห์ก่อนควรจะต้องกลับขึ้นไปยืน 1670 จุดได้อย่างมั่นคง แนวต้าน 1672-1676 จุด แนวรับ 1660-1665 จุด
มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อ หากจะลบภาพการพักตัวจากสัปดาห์ก่อนควรยืน 1670 จุดได้อย่างมั่นคง
Support 1660-1654 // 1634 จุด Resistance 1690-1700 จุด
พรรณนภา เขมะสุรัตน์ Technical Analyst
เลขทะเบียน : 060110 Tel 02- 6481124
Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
'ลุ้นผ่านแนวต้าน 1670 จุด'
ทิศทางตลาดหุ้นไทย : คาดดัชนีฯ แกว่งผันผวน มีโอกาสเดินหน้าต่อ ... ตลาดพลิกกลับมาได้อีกครั้ง สวนทางกับที่เราคาดว่าน่าจะมีการพักตัว แรงซื้อของนักลงทุนในและต่างประเทศที่กลับเข้ามาในหุ้นใหญ่กระจายไปในหลายๆกลุ่มส่งสัญญาณบวกต่อตลาดระยะสั้น แต่เรายังมองว่า กรอบแนวต้านดัชนีฯที่สำคัญ จะเป็น 1670-76 จุด ....... ตัวแปรที่สำคัญของตลาด ต่งประเทศ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น (บวกต่อ PTTEP) สถานการณ์เกาหลีเหนือยังอึมครึม การประชุม ครม.สัปดาห์นี้ เรายังไม่เห็นวาระที่จะมีผลต่อหุ้นในตลาด และรอการประชุม กนง.(27 ก.ย.) ว่าจะมีการพิจารณาลดดอกเบี้ยหรือไม่
กลยุทธ์การลงทุน : ตัวแปรในตลาดยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แนวโน้มระยะกลาง(3 เดือน) ยังดี แต่ระยะสั้นมียังเป็นช่วงของการพักตัว จุดเปลี่ยนคือถ้าขึ้นเหนือ 1670 จุด ได้จึงจะหลุดพ้นจากการพักฐาน ..... กลยุทธ์ ปรับเป็นถือ ดูจุดต้านสำคัญที่กล่าวไป และควรพร้อม follow buy หรือซื้อเพิ่มหากตลาดกลับมาดี ....... อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสัปดาห์นี้ ยังคงต้องเน้นเล่นสั้นไปก่อน โดยสลับกลุ่มเล่นแบบรายวัน โดยน้ำหนักของกลุ่มที่เราให้ความสนใจมากที่สุด จะไปเน้นที่หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หุ้นที่ผลประกอบการ 3Q ที่จะออกมาดี และหุ้นที่ยังมีความ laggard
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ประจำวัน : สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ TOP, BANPU, ANAN, FPI*, SNC*
หุ้นแนะนำทางเทคนิค : BEAUTY, ICN, SLP
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
บทวิเคราะห์และความเห็นข่าวสำคัญ
(0) BANK : ธปท.ประกาศคุมเข้ม 5 แบงก์ใหญ่ในส่วนของเงินกองทุนที่ต้องมีเพิ่มขึ้น
(+) HTECH : คาดกำไรสุทธิ 3Q17 ดีใกล้เคียง 2Q17 แม้ได้รับผลกระทบจากการย้ายเครื่องจักร
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (25 ก.ย.) ปิดที่ระดับ 1,667.59 จุด เพิ่มขึ้น 8.54 จุด หรือ +0.51% มูลค่าการซื้อขาย 50,539.20 ล้านบาท ตลาดสามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้หลังปรับตัวลงค่อนข้างในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงซื้อเข้ามาจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง KBANK และ PTT
ตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,296.09 จุด ลดลง 53.50 จุด หรือ -0.24% ตลาดได้รับแรงกดดันจากประเด็นเกาหลีเหนือที่มีความรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งยังมีแรงขายมามากจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี .... แต่ด้าน Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.2% ปิดที่ 383.90 จุด
ปัจจัยต่างประเทศ: ความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือเป็นลบต่อตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่ไม่ส่งผลถึงไทย ประเด็นสำคัญเรื่องเกาหลีเหนือเข้ามา จากรมว.ต่างประเทศเกาหลีเหนือ กล่าวว่า คำกล่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงที่ผ่านมาเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ ถือเป็นการประกาศสงครามกับเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน และเกาหลีเหนือมีสิทธิที่จะทำการตอบโต้ แต่ทำเนียบขาวแถลงในวันนี้ว่า สหรัฐไม่ได้ประกาศสงครามต่อเกาหลีเหนือแต่อย่างใด .... อย่างไรก็ตาม สถิติที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ทุกครั้งที่มีความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือ ตลาดหุ้นไทยจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ดังนั้นหากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจากประเด็นดังกล่าว เรามองเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อเมื่ออ่อนตัว
ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นทะลุ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 58 เซนต์ หรือ 1.14% สู่ระดับ 51.24 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยมีปัจจัยบวกจากที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ระบุว่าได้ให้ความร่วมมือ 100% สำหรับการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ขณะที่ไนจีเรียเปิดเผยว่าได้ผลิตน้ำมันในปริมาณต่ำกว่าที่ได้ระบุไว้ในข้อตกลง …. ประเด็นดังกล่าวส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มน้ำมันอย่าง PTTEP
ปัจจัยในประเทศ: ติดตามมติ ครม. ในวันนี้ และการประชุม กนง. ในวันที่ 27 ก.ย. แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะไม่มีประกาศว่าจะนำมติสำคัญเข้าที่ประชุม ครม. ในวันนี้ แต่เรามองว่าหากมีการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ออกมา จะเป็นบวกต่อตลาดมาก เพราะตัวแปรนี้ ถือว่ามีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดในเวลานี้ แนะนำติดตามข่าวการประกาศผล ครม. อย่างใกล้ชิดในช่วงบ่าย …. การประชุม กนง. จะเริ่มวันที่ 27 ก.ย. ปัจจุบันเริ่มมีความเป็นไปได้ออกมาว่า กนง. จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จะมีผลลบต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร
Stock in Focus
หุ้น เหตุผล
TOP(ราคาปิด 92.50) เราแนะนำ TOP ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน โดยได้ผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นได้ดี และคาดว่าจะทรงตัวเหนือกว่าระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมี stock gain ในงวด 3Q-17 และราคาน้ำมันดิบ Dubai ล่าสุด เทียบกับปลายงวด 2Q มีส่วนต่างประมาณ $8 เหรียญ หมายถึง โรงกลั่นน้ำมันน่าจะมีกำไรจาก stock น้ำมันในไตรมาสนี้ ขณะที่ค่าการกลั่นน้ำมันในตลาด นั้น 3Q (qtd) นั้นสูงกว่าเฉลี่ยของไตรมาสก่อนอยู่ $2 เหรียญ ที่ $7.9 เหรียญ/บาร์เรล …. ราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ สูงขึ้น 1.3% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นบวกต่อ TOP โดยตรง ..... Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 18,140 ล้านบาท (-14.5% YoY) แต่คาดว่า consensus น่าจะปรับประมาณการขึ้นในอนาคตจากราคาน้ำมันและค่าการกลั่นน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น .... (ราคาที่เหมาะสม โดย Bloomberg ที่ 89.95 บาท)
BANPU(ราคาปิด 17.80) ราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นมามาก ล่าสุด $97 เหรียญ/ตัน ปัจจัยบวกมาจาก การผลิตถ่านหินของจีนที่ลดลง และยูเอ็น ban ส่งออกถ่านหินของเกาหลีเหนือ และสูงขึ้นตาม demand และราคาของเหล็ก ..... ความเสี่ยงที่ยังมีอยู่และกดดันต่อราคาหุ้น คือ คดีหงสา ความคืบหน้าล่าสุด มีเพียงคดีที่รัฐบาลลาวถูกฟ้องนั้นถูกยก (ไม่ฟ้อง) และทาง BANPU ระบุว่ายังไม่มีการส่งหมายเรียกจากศาลเพื่อให้ไปฟังคำตัดสิน .... เราคาดกำไรสุทธิปี 2017 ของ BANPU ที่ 9,692 ล้านบาท (+477.9% YoY) ….. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 23.00 บาท)
ANAN(ราคาปิด 5.75) กำไร 2Q-17 อยู่ที่ 279 ลบ. +33% YoY และ 99% QoQ .... คาด ANAN จะเติบโตโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลังโดยเฉพาะช่วง 4Q17 กำไรสุทธิ 1H17 ยังคิดเป็นสัดส่วนไม่มากราว 23% เนื่องจากจะมีโครงการคอนโดเริ่มโอนอีก 6 โครงการ ดังนั้น เราคาดว่ากำไรสุทธิหลักๆ ของปี 2017 จะเกิดขึ้นใน 4Q17 คาดว่ากำไรสุทธิปี 2017 จะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องจากปีก่อนที่ 1857 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% YoY .... (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST 6.00 บาท)
FPI *(ราคาปิด 4.72) FPI ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตจากพลาสติก .... เป็นอีกบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากมีการขายในต่างประเทศ และรายได้จากการขายให้ในกลุ่ม OEM ที่ลดลง กำไร 6M-17 109 ลบ. ลดลง 21% YoY ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ..... แผนการดำเนินงานครึ่งปีหลังปี 2560 ของบริษัทฯ จะเน้นการเติบโตจากงานรับจ้างผลิต (OEM) ในประเทศยุโรป อเมริกา และออสเตรเลียมากขึ้น ทั้งนี้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากลูกค้ากลุ่มดังกล่าวแล้ว 400-500 ล้านบาท ระยะสัญญาการผลิตและจำหน่าย 2 ปี ……… บริษัทคาดแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังปี 2560 จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก จากแนวโน้มเงินบาท ที่คาดจะไม่แข็งค่าไปกว่านี้ และการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีการรับรู้ผลกำไรจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าชีวมวล จังหวัดนราธิวาส กำลังการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ (FPI ถือสัดส่วนหุ้น 33%) นอกจากนี้บริษัทจะเริ่มทยอยส่งมอบสินค้าในกับลูกค้าในประเทศอินเดียเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 3/2560 เป็นต้นไป ดังนั้นบริษัทคาดทิศทางผลประกอบการครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างเห็นได้ชัด
SNC *(ราคาปิด 15.20) มองกำไรของ SNC จะสามารถกลับมาเติบโตได้ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะสูงขึ้น, การคืนเงินกู้เพื่อลดดอกเบี้ย, และการขายหุ้นในบริษัทที่ไม่สร้างผลกำไรออกไป .... Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 เติบโต +10% YoY ที่ 442 ล้านบาท และเติบโตอีก +4.7% ในปี 2018 ที่ 463 ล้านบาท .... (ราคาเหมาะสม โดย Bloomberg ที่ 15.40 บาท)
Source: KTBST Research
Sector / Stock Updates
(+) กลุ่มธนาคาร ธปท. ประกาศแนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ และประกาศรายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ธนาคารใหญ่ของประเทศ
โดยเรามองเป็นกลางต่อประเด็นของการที่ ธปท. มีความเข้มงวดมากขึ้นต่อเงินกองทุนของแบงก์ใหญ่ (BBL, BAY, KTB, KBANK และ SCB) ซึ่งเป็นไปตามหลักการของ BASEL III โดยเราพิจารณาจากข้อมูลในช่วง 2Q17 เราพบว่า %เงินกองทุนของ 5 แบงก์ใหญ่เพียงพอต่อการรองรับกับ BASEL III อยู่แล้ว ซึ่งประกาศฉบับนี้ เรามองว่า ไม่มีผลกระทบต่อเงินกองทุนของ 5 แบงก์ใหญ่ โดยชอบ BBL มากที่สุด เนื่องจากมีเงินกองทุนที่สูงที่สุด และมี Coverage Ratio อยู่ในระดับสูงรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ราคาเป้าหมายที่ 222 บาท
(0) GL แจงปมคดีฉาวที่เกิดขึ้นกับผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ ยันไม่มีผลกระทบบริษัท หลัง APFH ผู้ถือหุ้นใหญ่ GL ชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ความเสี่ยงที่จะมีการนำเอาหุ้น GL (ที่วางค้ำประกัน) มาขายในตลาดมีน้อยลง หรือตัดภาระผูกพันหุ้นในส่วนที่จะโดนขายทอดตลาด 0.87% แต่ APFH ยังคงสัดส่วนถือหุ้นใหญ่ของ GL ที่ 10.42% รวมทั้งวางแผนระยะยาวรายได้โต 10 เท่าใน 5 ปีและไม่มีแผนเพิ่มทุน :
เรามองว่าการที่ APFH สามารถจ่ายชำระหนี้ได้นั้น ส่งผลดีต่อ GL เนื่องจาก APFH ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท และสามารถขยายธุรกิจได้ตามแผนงานเดิม โดยบริษัทมีเป้าหมายในการขยายสินเชื่อเข้าสู่ประเทศพม่า และอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทได้รับความร่วมมือจากค่ายรถต่างๆในการปล่อยสินเชื่อ เช่น ฮอนด้า ในประเทศพม่า และ TATA Motor ในประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้บริษัทยังได้พัฒนาระบบไอทีอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับธุรกิจดิจิตอลไฟแนนซ์ในอนาคต อย่างไรก็ตามาเรายังคงให้ความระมัดระวังต่อการด้อยค่าเงินลงทุน CCF ในประเทศศรีลังกา ที่เราคาดว่าบริษัทจะตั้งการด้อยค่าใน 3Q17
Source: KTBST Research
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]