- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 25 September 2017 17:59
- Hits: 3335
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ไม่หลุด 1655 ยังลุ้นว่ากลับขึ้นได้'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวันศุกร์ SET Index ร่วง 11.44 จุดปิดที่ 1659.05 โดยหลักมาจากการขายทำกำไร และรอข่าวใหม่ในระยะต่อไป ต่างชาติขายสุทธิ 2 พันลบ. สถาบันในปท.ขายสุทธิ 831 ลบ. พอร์ตบล.กับรายย่อยซื้อสุทธิ
สำหรับ สัปดาห์นี้ ในประเทศ : มีการประชุมกนง.ของไทยวันที่ 27 ก.ย. ทาง DBS เห็นว่าทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐที่จะปรับขึ้น ค่าเงิน US$ มีแนวโน้มแข็งขึ้นในระยะต่อไปและบาทจะอ่อนลงก็ช่วยผ่อนคลายเรื่องการต้องลดดอกเบี้ยลง ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ เราประเมินว่าน่าจะพบกันครึ่งทางระหว่างองค์กรแรงงานที่เสนอเพิ่มเป็น 370 ขณะที่สภานายจ้างฯมองไว้ที่ 320 บาท/วัน ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป สำหรับกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากเมื่ออัตราค่าแรงฯเพิ่ม คือ กลุ่มสินค้าเกษตร, กลุ่มโรงแรมและอาหาร กลุ่มสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า เป็นต้น ด้าน Window dressing อาจไม่จำเป็นนักในรอบปิดงวด 3Q60 เพราะ SET Index ปรับขึ้นมาแล้ว 5.4%QTD
ปัจจัยภายนอก : ผลเลือกตั้งเยอรมนีออกมาตามคาด พรรคร่วมรัฐบาลของ"แมร์เคิล"คว้าชัยเลือกตั้งสภาล่างเยอรมนีเป็นสมัยที่ 4 ส่วนในสหรัฐจับตาการอภิปรายร่างกม.ประกันสุขภาพฉบับใหม่ คือ "คาสซิดี-เกรแฮม" ในวุฒิสภาวันนี้ (25 ก.ย.) และจะลงมติ 30 ก.ย. ซึ่งต้องลุ้นมากเพราะวุฒิสภาชิกรีพับลิกันมี 52 คนในทั้งหมด 100 คน หากสมาชิกฯไม่เห็นด้วยเกิน 2 คนก็จะไม่ผ่านและถ้าได้ 50 เสียงก็ต้องใช้คะแนนเสียงชี้ขาดจากรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ในฐานะประธานวุฒิสภา ด้านตัวเลข PMI ภาคผลิตและบริการเบื้องต้นเดือนก.ย.ของสหรัฐ & ยูโรโซนอยู่ในเกณฑ์ดีและสูงกว่า 50 จุด ส่วนราคาน้ำมันดิบบวกไม่มาก เพราะกลุ่มปท.ผู้ผลิตฯยังไม่ขยายเวลาลดการผลิตในการประชุม 22 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะไปดูกันอีกทีในการประชุมเดือนม.ค.ปีหน้า ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบ BRENT ใน 3Q60 +16%QTD แล้ว
กลยุทธ์ลงทุน : เลือกซื้อ/ถือต่อ เมื่อ SET บวกและราคาหุ้นอยู่เหนือ SMA10 เพราะระดับปิดของ SET วันศุกร์อยู่ใกล้ SMA10 ถ้าลบจะดูไม่ค่อยดี (อาจถอยมาที่ 1635-1630 หรือต่ำกว่าได้) การซื้อ/ถือหุ้น Big Cap ต่อควรอยู่บนเงื่อนไข SET บวกและไม่หลุด SMA10 ไว้ก่อนดีกว่า หุ้นกลยุทธ์แนะนำรายสัปดาห์ช่วง 20-26 ก.ย.60 เป็น MINT (Growth Play) และ TISCO (Growth & High yield Play)
การ SCAN หุ้นทางเทคนิค : หุ้นที่คาดว่าราคาจะทำ New High ได้ที่เข้ามาใหม่เป็น TCAP, GOLD, CCET, CBG, MEGA, AH หุ้นยังอยู่ใน List คือ MCS, VIBHA, AMATA, SAMTEL, RS, AAV, PSL หุ้นหลุด List คือ STAR, BR ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไรเป็น SAT, SAWAD
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค& Reseach Team - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
+ เยอรมนี : พรรคร่วมรัฐบาลของ "แมร์เคิล" คว้าชัยเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนีเป็นสมัยที่ 4
# พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) และพรรคสหภาพสังคมคริสเตียน (CSU) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของนางอังเกลา แมร์เคิล ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนีซึ่งจัดขึ้นเมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้พรรค CDU/CSU ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งติดต่อกันเป็นสมัยที่ 4
# เอ็กซิทโพลล์ระบุว่าพรรค CDU/CSU ได้คะแนนเสียงสูงสุดที่ 32.5% (แต่ลดลงจาก 41.5% ที่เคยได้รับในการเลือกตั้งปี 2556) โดยพรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี (AFD) ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมขวาจัดมีคะแนนเพิ่มเป็น 13.5% และมีสิทธิครองเก้าอี้ในสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนีเป็นครั้งแรก
+ ยูโรโซน : ดัชนี PMI รวมเบื้องต้นเพิ่มในเดือนก.ย. โดย PMI ภาคผลิตสูงสุดในรอบ 79 เดือน
# ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซนอยู่ที่ 56.7 ในเดือนก.ย. เพิ่มจากระดับ 55.7 ในเดือนส.ค. และยังทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 เดือน
# สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นอยู่ที่ 55.6 ในเดือนก.ย. เพิ่มจาก 54.7 ในเดือนส.ค. ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นอยู่ที่ 58.2 ในเดือนก.ย. เพิ่มจาก 57.4 ในเดือนส.ค.ทำสถิติสูงสุดในรอบ 79 เดือน
สหรัฐ : เปิดอภิปรายร่างกม.ประกันสุขภาพฉบับใหม่ (คาสซิดี-เกรแฮม) 25 ก.ย.และลงมติ 30 ก.ย.นี้
# วันที่ 25 ก.ย.นี้ คณะกรรมาธิการการเงินแห่งวุฒิสภาสหรัฐเตรียมเปิดการอภิปรายเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ เพื่อนำมาบังคับใช้แทนที่กฎหมายโอบามาแคร์ของรัฐบาลชุดก่อน โดยร่างกฎหมายดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า "คาสซิดี-เกรแฮม" ซึ่งผลักดันโดยวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่าง บิล คาสซิดี และ ลินด์ซีย์ เกรแฮม และวุฒิสภาจะลงมติว่าเห็นชอบในร่างกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ภายในวันที่ 30 ก.ย.
# เมื่อ 25 ก.ค.60 วุฒิสภาสหรัฐได้ลงมติคัดค้านแผน "ยกเลิกและแทนที่" (Repeal and Replace) กฎหมายประกันสุขภาพของรัฐบาลชุดก่อน หรือ "โอบามาแคร์" ด้วยคะแนนเสียง 57 ต่อ 43 คะแนน (พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาโดยมีจำนวนวุฒิสมาชิกทั้งหมด 52 ที่นั่งจากทั้งหมด 100 ที่นั่ง) ร่างกฎหมายนี้ต้องการเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกอย่างน้อย 50 เสียง บวกกับคะแนนเสียงชี้ขาดจากรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ในฐานะประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่งในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากัน
สหรัฐ : ดัชนี PMI เบื้องต้นภาคผลิตเพิ่มขึ้นแต่ภาคบริการลดลงเล็กน้อย
# ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-บริการเบื้องต้นของสหรัฐ ชะลอตัวลงเป็น 54.6 ในเดือนก.ย. จากระดับ 55.3 ในเดือนส.ค. แต่ดัชนียังคงสูงกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว
# สำหรับดัชนี PMI ภาคการผลิตเพิ่มเป็น 53.0 ในเดือนก.ย. จาก 52.8 ในเดือนส.ค. ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการลดลงสู่ 55.1 จาก 56.0 ในเดือนส.ค.
ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีปิดบวก/ลบไม่มาก
# เมื่อวันศุกร์ดัชนี DJIA ปิด -9.64 จุด หรือ -0.04% ดัชนี S&P 500 ปิด +1.62 จุด หรือ +0.06% ดัชนี Nasdaq +4.23 จุด หรือ +0.07% โดยความกังวลสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีผ่อนคลายลง ตัวเลขเ PMI ภาคบริการเบื้องต้นของเดือนก.ย.อ่อนลงแต่ดัชนีภาคผลิตดีขึ้น จับตาการอภิปรายร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ของทรัมป์โดยวุฒิสภาสหรัฐ 25 ก.ย.นี้และลงมติ 30 ก.ย.60
/+ ภาวะตลาดน้ำมัน: ปรับขึ้นหลังจบประชุมกลุ่มโอเปก
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. บวก 11 เซนต์ หรือ 0.22% ปิดที่ 50.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 56.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
# การประชุมกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกยังไม่บรรลุข้อตกลงในการขยายเวลาปรับลดปริมาณการผลิต โดยอาจจะพิจารณาอีกครั้งในการประชุมเดือนม.ค.61 อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆ ให้ความร่วมมือในการลดการผลิตมากขึ้น
# เบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐว่าลดลง 5 แท่น สู่ระดับ 744 แท่นในสัปดาห์ก่อน
ภาวะตลาดทองคำ : ราคาทองคำขยับขึ้นเล็กน้อย
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.7 ดอลลาร์ หรือ 0.21% ปิดที่ระดับ 1,297.5 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นมีข่าว
ติดตามผลประชุมกนง.วันที่ 27 ก.ย.
# ทาง DBS ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวที่ 1.50% ไปถึง 3Q61 บนสมมติฐาน ค่าเงินบาท 33.10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อัตราเงินเฟ้อปี 60/61 ที่ 0.5%/1.2% และการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 60-61 เฉลี่ย 3.5-3.6% ต่อปี แต่ถ้าอัตราเงินเฟ้อยังต่ำและมีโมเมนตัมว่าจะฟื้นช้า (ซึ่งก็ขึ้นกับราคาน้ำมันดิบเป็นหลัก) และเงินบาทแข็งค่ากว่าที่ประมาณการไว้ก็มี room ให้ทางการไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้เล็กน้อย
# สำหรับนโยบายการเงินเฟดที่จะเริ่มลดงบดุลตั้งแต่ต.ค.60 โดยเริ่มที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน แล้วเพิ่มทีละ 1 หมื่นล้านฯทุกไตรมาส จนแตะ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค.61 รวมถึงมีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง (ซึ่งจะเป็นครั้งที่ 3 ของปี) ในการประชุมเดือนธ.ค.60 ก็หนุนให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งก็ช่วยลดแรงกดดันเรื่องบาทแข็งในอีกทางหนึ่ง
องค์กรลูกจ้างขอให้ปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็น 370 บาท/วัน...ทางด้านนายจ้างมองว่าสูงเกินไป
# ทางด้านองค์กรลูกจ้างเสนอให้มีการปรับขึ้นอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำจาก 300 เป็น 370 บาท/วัน (+23.3%) ซึ่งทางนายจ้างมองว่าปรับขึ้นมากเกินไปในสภาวะการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ส่วนอัตราที่ทางสภานายจ้างแห่งประเทศไทยเห็นว่าพอรับได้คือ 320 บาท/วัน (+6.7%)
# ความเห็น DBS : การปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็นบวกกับการจับจ่ายใช้สอยที่จะเพิ่มขึ้น (ซึ่ง TDRI ระบุไว้ว่าจำนวนแรงงานที่ได้รับประโยชน์อยู่ที่ประมาณ 3.2 ล้านคน) แต่ก็ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้น ราคาสินค้าและบริการก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นอัตราค่าแรงงานจึงต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
โดยสาขาที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำมาก คือ กลุ่มสินค้าเกษตร รองลงมาเป็นโรงแรมและอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า
ระดับปิดดัชนี ณ 22 ก.ย.สูงขึ้นราว 5.4%QTD แล้ว...ต้องมี Window dressing หรือไม่?
# สัปดาห์นี้สิ้นไตรมาส 3/60 แล้วซึ่งตามปกติแล้วนักลงทุนสถาบันมักจะมีการทำราคาปิดสิ้นงวด แต่ไตรมาสนี้อาจไม่จำเป็นนักเพราะระดับดัชนีสิ้น 3Q60 ก็สูงกว่าสิ้น 2Q60 อย่างมีนัยสำคัญอยู่แล้ว (ดัชนีระดับปัจจุบันสูงกว่าระดับปิดสิ้นมิ.ย.60 ที่ 1574.74 ประมาณ 5.4%)
+ SCC (ราคาปิด 502 บาท) : อยู่ระหว่างขายเงินลงทุน NTP ในเวียดนาม
# บริษัทย่อยของ SCC (คือ นวพลาสติกอุตสาหกรรม (สระบุรี) ซึ่ง SCC ถือหุ้นทางอ้อม 99.79%) เสนอขายหุ้น Tien Plastic Hount Stock Company : NTP สัดส่วน 23.8% ในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามด้วยวิธี Matching หรือ Put through trading ตามเกณฑ์ของ HNX ในช่วงวันที่ 25 ก.ย.-20 ต.ค.60 ทั้งนี้ NTP เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายท่อพลาสติกพีวีซีทางตอนเหนือของเวียดนาม โดยมีมูลค่าตามตลาด (Market Cap) 9,169.24 ล้านบาท หรือประมาณ 277.60 ดอลลาร์สหรัฐ
# มูลค่าลงทุนตามวิธี Equity method ที่กลุ่ม SCC ถือ NTP 23.8% อยู่ที่ 1,125 ล้านบาทในสิ้นมิ.ย.60 ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดตามสัดส่วนที่ถืออยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท ถ้าหากขายหุ้นได้ตามราคาตลาดก็จะมีกำไรหลังหักภาษี 846 ล้านบาท หรือ 0.70 บาท/หุ้น SCC ซึ่งคิดเป็น 2% ของประมาณการ EPS ในปีนี้
# ความเห็น DBS : เป็นบวกเล็กๆ กับ SCC ที่จะทำให้กำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายดีขึ้นมาได้อีกประมาณ 2% จากเดิมที่เราและตลาดคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตจำกัด (ประมาณ 5%) เราคงคำแนะนำซื้อ SCC โดยให้ราคาพื้นฐาน 580 บาท คาด Dividend Yield ปีนี้ 3.8% (โดยประกาศจ่ายระหว่างกาลและขึ้น XD ไปแล้ว 8.50 บาท/หุ้น และคาดการณ์ปันผลครึ่งปีหลังอีก 10.50 บาท/หุ้น)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]