- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 22 August 2014 16:22
- Hits: 2499
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ยืนเหนือ 1540 ได้ยัง Let Profit Run”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ภาพตลาดวันก่อน : แกว่งกรอบแคบ โดยนักลงทุนมีการเข้าซื้อหุ้นขนาดกลาง-เล็ก-เล็กมาก ส่วนหุ้นใหญ่เคลื่อนไหวในช่วงแคบ ปิดตลาดดัชนีทรงตัวที่ 1551.41 การซื้อขายสุทธิของนักลงทุนแต่ละกลุ่มค่อนข้างต่ำ สะท้อนภาพ Sideway รอข่าวใหม่ของตลาดอย่างชัดเจน
ปัจจัยและกลยุทธ์ : จะยกเลิกใช้กฎอัยการศึกหรือไม่? & ติดตามถ้อยแถลงประธานเฟด ยังไม่มีปัจจัยใหม่มากระตุ้นมากนัก แต่ Sentimentตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นบวก เพราะได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่ง โดยผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (21ส.ค.) ก็ออกมาตามคาด คือ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯคนที่ 29 ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ จากนี้ก็รอดูรายชื่อคณะรัฐมนตรี และลุ้นว่าจะมีประกาศยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกหรือไม่ ซึ่งหากยกเลิกก็จะเป็น Sentiment ทางบวกต่อการลงทุนและการท่องเที่ยว ทั้งนี้คาดว่าคณะรัฐบาลใหม่จะยังคงเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเร่งให้เกิดการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมีการฟื้นตัว ปัจจัยที่จับตา คือ ถ้อยแถลงของประธานเฟดในการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็คสัน โฮล มลรัฐไวโอมิง ซึ่งเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 21-23 ส.ค.นี้ หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น MINT
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือการอ่อนตัวที่ต่ำกว่า 1540 จุด ควรชะลอการเก็งกำไร/ลดพอร์ตตามในกรณีที่มีหุ้นมากเหลือเงินสดอยู่น้อย เพราะดัชนีมีโอกาสอ่อนไปยัง 1510-1500 จุดหรือต่ำกว่า ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1560, 1570 จุด สำหรับหุ้นที่คาดว่าราคามีโอกาสทำ New High เมื่อพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค คือ AOT, STEC, QH, BBL, CCP, LHBANK, THREL, RATCH, SIM,SOLAR, FORTH ส่วนหุ้นที่อยู่ในพื้นที่ New High แล้วให้หาจังหวะ Take Profit คือ BCP, CK, KTB
Fundamental Pick
MINT แนะนำซื้อราคาปิด 33.75 บาท เป้าหมาย 40 บาท
* กำไร 2Q57 เติบโต 44% y-o-y แต่ลดลง 57% q-o-q เป็น 617 ล้านบาท ถือว่าออกมาสอดคล้องกับประมาณการก่อนหน้า สาเหตุที่กำไรเติบโตดี y-o-y คือ รายได้เฉลี่ย (RevPar)ของกลุ่มที่แข็งแกร่ง และธุรกิจอาหารจานเดี่ยวมีอัตราการเติบโตของสาขาทั้งหมด (TSSG) ที่ดียอดขายสมาชิก (AVC) เติบโตก้าวกระโดด และค่าบริหารก็เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด อัตรากำไรEBITDA เพิ่ม 2.21% เป็น 19.6% แรงหนุนนำมาจากธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวขึ้น และธุรกิจอาหารจานเดี่ยวธุรกิจโรงแรมที่กรุงเทพฯอ่อนจากปัจจัยการเมือง แต่ได้รับการชดเชยจากโรงแรมที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะมัลดีฟและต่างจังหวัด ด้านธุรกิจอาหารจานเดี่ยวมีอัตราการเติบโตของสาขาทั้งหมด (TSSG) ที่ดี เพิ่ม 12.4% y-o-y
* แนวโน้มโรงแรมที่กรุงเทพฯฟื้นตัว แม้สัดส่วนรายได้เป็นเพียง 9% จากทั้งหมด นั่นเป็นเพราะการกระจายความเสี่ยงที่ดีทางธุรกิจของ MINT แต่มีสัญญาณที่ดีจากยอดจองล่วงหน้า ยอดยกเลิกน้อยลง รวมทั้งการเดินทางจากต่างประเทศมาไทยฟื้นตัวดีขึ้นในเดือน ก.ค.57 ด้านธุรกิจอาหารจานเดี่ยวก็คาดว่าจะฟื้นตัวเช่นกัน เพราะความมั่นใจผู้บริโภคเดือน ก.ค.57 ปรับตัวดีขึ้นมาก คือดีขึ้นมาเป็นเดือนที่ 3 แล้วและสูงสุดในรอบ 11 เดือน อีกทั้งปัจจัยการเมืองไทยก็สงบลง
* แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 40.00 บาท ซึ่งประเมินด้วย DCF (Wacc 9.6%, terminal growth2%) เราเห็นว่า MINT น่าสนใจในประเด็น การกระจายความเสี่ยงธุรกิจที่ดี มีแผนขยายธุรกิจน่าสนใจและมีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ล่าสุด MINT ได้ร่วมทุนกับ BreadTalk's ในการต่อยอดธุรกิจอาหารในประเทศ (ถือหุ้น 50% ใน BTM Thailand) และยังลงทุนในธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในแอฟริกาที่มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวสูง
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่งทั้ง PMI ภาคการผลิต, ยอดขายบ้านมือสองและภาคแรงงาน
* มาร์กิต อิโคโนมิคส์ เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนส.ค.ของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 58.0 จากเดือนก.ค.ที่ระดับ 55.8 โดยดัชนี PMI เดือนส.ค.ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2553 อันเป็นผลมาจากการจ้างงานในภาคการผลิตขยายตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งอย่างมาก
* สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่ายอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.ปรับตัวขึ้น 2.4% แตะที่ 5.15 ล้านยูนิต โดยยอดขายบ้านมือสองปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และมีอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 10 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
* จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 ส.ค. ปรับตัวลง14,000 รายสู่ระดับ 298,000 ราย ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับตัวลงสู่ระดับ302,000 ราย สะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐ
•/- ยูโรโซน : มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชะลอลง * ผลสำรวจของมาร์กิตระบุว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซนในเดือนส.ค.ปรับลงที่ 52.8 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จาก 53.8 ในเดือนก.ค.สำหรับดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นในเดือนส.ค.ขยับลงมาที่ 50.8 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 13 เดือนจากระดับ 51.8 ในเดือนก่อนหน้า และดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนก.ค.ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 53.5 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 54.2 ในเดือนก.ค.
* นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัวเพียง 0.3-0.4% ใน 3Q57 ซึ่งเป็นระดับที่ยังไม่กระตุ้นให้ภาคแรงงานพลิกฟื้นได้อย่างแท้จริง
• จับตาดูการประชุมประจำปีที่เฟดแคนซัสซิตี้เป็นผู้จัดในวันที่ 21-23 ส.ค.57 โดยประธานเฟดจะมีถ้อยแถลงในวันที่ 22 ส.ค.ด้วย
* จับตาดูการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็คสัน โฮล มลรัฐไวโอมิง ซึ่งเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 21-23 ส.ค.นี้ โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้คือ "Re-Evaluating Labor MarketDynamics" ซึ่งบรรดาผู้ว่าการธนาคารกลาง นักเศรษฐศาสตร์ รัฐมนตรีคลัง และเจ้าหน้าด้านอื่นๆจากทั่วโลก จะเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินในการประชุมดังกล่าว นักลงทุนต่างจับตาดูนางเยลเลน ประธานเฟด ที่จะแสดงความคิดเห็นด้านตลาดแรงงานในวันที่ 22 ส.ค. ขณะที่นายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารรกลางยุโรป (อีซีบี) ก็จะเข้าร่วมปาฐกถาในการประชุมครั้งนี้ด้วย
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นต่อ รับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
* ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,039.49 จุด เพิ่มขึ้น 60.36 จุด หรือ +0.36% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,532.10 จุด เพิ่มขึ้น 5.62 จุด หรือ +0.12% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,992.37จุด เพิ่มขึ้น 5.86 จุด หรือ +0.29% โดยนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐทั้งดัชนี PMI ภาคการผลิตที่พุ่งขึ้น และยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.ที่เพิ่มขึ้น และตัวเลขภาคแรงงานที่ออกมาดี
• สัญญาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
* สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 51 เซนต์ ปิดที่ 93.96 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 35 เซนต์ ปิดที่ 102.63 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยเป็นการขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ
- สัญญาทองคำ COMEX : ร่วงลงแรง
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 19.8ดอลลาร์ หรือ 1.53% ปิดที่ 1275.4 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยที่กดดัน คือ กระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วที่กลับมาอีกรอบ หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง
ปัจจัยในประเทศ
• ผลกระทบจากการตัด GSP ของอียูไม่มากเพราะผู้ประกอบการไทยเตรียมพร้อมรับมือมาก่อนหน้านี้แล้ว ยังคงคำแนะนำซื้อลงทุนใน CPF และ TUF
* ไทยจะถูกตัด GSP จากอียูตั้งแต่ 1 ม.ค.58 เป็นต้นไป ทั้งนี้สหภาพยุโรป (อียู) ได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (Generalized System of Preferences GSP) แก่ประเทศกำลังพัฒนาประเทศพัฒนาน้อยที่สุด และดินแดนในเขตปกครองต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 176 ประเทศ ตั้งแต่ปี2514 โดยเป็นการให้สิทธิพิเศษฝ่ายเดียว และประเทศผู้ให้สิทธิฯจะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขต่าง ๆและอัตราภาษีเองทั้งหมด ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว แต่เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.56 อียูได้ออกระเบียบใหม่และระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.58 ประเทศไทยจะไม่อยู่ในรายชื่อประเทศผู้รับสิทธิ GSP จากอียูอีกต่อไป และเพื่อให้ผู้ประกอบการของไทยยังคงสามารถใช้สิทธิพิเศษทาง GSP ในช่วงก่อนการถูกระงับสิทธิฯ ผู้ส่งออกจะต้องยื่นขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form A) พร้อมเอกสารสำคัญอื่น ๆ ที่ใช้ประกอบการผ่านพิธีการศุลกากรภายในวันที่ 31 ธ.ค.57 รวมทั้งศุลกากรจะต้องตรวจปล่อยสินค้าดังกล่าวภายในวันที่ 31 ธ.ค.57 สินค้านั้นจึงจะได้รับสิทธิ GSP (ที่มา : สำนักบริการการค้าต่างประเทศ)
• อียูตัด GSP ไทยเพราะประเด็นรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่สูงขึ้น ไทยจะถูกตัด GSP จากสหภาพยุโรปเพราะรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงค่อนข้างสูง(Middle Upper Income Level) เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันตามข้อมูลของธนาคารโลก ซึ่งไทยจะถูกตัด GSP ตั้งแต่ 1 ม.ค.58 เป็นต้นไป โดยการตัด GSP นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมือง เช่น การมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งหรือไม
• ผู้ประกอบการไทยที่จะถูกกระทบจากการตัด GSP ได้เตรียมหาทางออกไปล่วงหน้าแล้ว เช่น การเจรจาเพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษGSP ในบางรายการสินค้า, การใช้ฐานการผลิตประเทศเพื่อนบ้านที่ยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP เป็นที่ผลิตเพื่อส่งออกไปอียูแทน เช่น เวียดนาม ซึ่งCPF ก็ใช้แนวทางนี้เป็นทางออก, การให้ผู้ค้ารายใหญ่ในประเทศซื้อสินค้ามาจำหน่ายในประเทศหรือส่งออกไปในภูมิภาคอื่นที่มีสายสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีมากขึ้น เป็นต้น
• ยังคงคำแนะนำซื้อลงทุนใน CPF และ TUF สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่เกี่ยวข้องกับการถูกตัด GSP จากสหภาพยุโรปคือ ทูน่ากระป๋อง และกุ้งแปรรูป โดยผู้ประกอบการหลักที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯและ DBS ทำการวิเคราะห์ทางด้านปัจจัยพื้นฐาน คือ CPF และ TUF ซึ่งทางบริษัทและเราเองมองว่าเรื่องการถูกตัด GSP จากอียูไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยผู้ประกอบการรับทราบเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และได้มีแผนรองรับไว้พอสมควร เช่น การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP, การขยายฐานการผลิตและตลาดไปยังประเทศผู้นำเข้าหลัก,การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าประเภทอื่นที่ไม่ติดปัญหาและมีมาร์จิ้นดี, การปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการผลิตและลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีต้นทุนที่ต่ำลง สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้นและยังสามารถทำกำไรได้ในเกณฑ์ดีแม้ว่าจะถูกตัด GSP ก็ตาม ดังนั้น เรามองว่าราคาหุ้น CPF และ TUF ที่อ่อนตัวลงมาก็เป็นจังหวะในการซื้อลงทุน
• กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน : ยอดขายรถยนต์เดือนก.ค.57 ลดลง 29.2%YoY ...คาดว่าอุตสาหกรรมยังซบเซาใน 2H57 แต่จะดีขึ้นในปี 58
* ยอดขายรถยนต์ก.ค.หดตัว 29.2%YoY บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดเปิดเผยปริมาณการขายรถยนต์ในประเทศเดือนก.ค.57 ว่ามีทั้งสิ้น 69,527 คัน ลดลง29.2%YoY ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 29,677 คัน ลดลง 37.5%YoY รถเพื่อการพาณิชย์ 39,850คัน ลดลง 21.5%YoY (เป็นรถกระบะขนาด 1 ตัน 32,899 คัน ซึ่งลดลง 20.7%YoY)
* ยอดขาย 7M57 หดตัว 39.2%YoY ส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศสะสม 7 เดือนของปีนี้อยู่ที่ 510,438 คัน ลดลง 39.2%YoY (รถยนต์นั่งลดลง 46.6%YoY, รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ลดลง 32.4%YoY) โดยเป็นผลจากการปรับเข้าสู่สมดุลของตลาดรถยนต์หลังสิ้นสุดโครงการรถยนต์คันแรก ประกอบกับการชะลอตัวของภาคการบริโภค และการลงทุน ในช่วงต้นปี
* Retail Research DBS มองว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศช่วงที่เหลือของปีนี้ยังซบเซาแต่ถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้ยอดขายในช่วงปลาย 3Q57 ถึง 4Q57 มีอัตราการติดลบน้อยลง คือ การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จากค่ายรถยนต์ต่างๆ และการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซลส์ ในช่วงกลางเดือนส.ค.57 อย่างไรก็ตาม คาดว่าโดยรวมแล้วจะยังหดตัวเมื่อเทียบ YoY
* ส่วนปี 58 มีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากที่อุปสงค์และอุปทานในประเทศมีความสมดุลมากขึ้นรวมทั้งการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก คาดการณ์ว่าผลประกอบการกลุ่มยานยนต์ปี 57 จะหดตัวประมาณ 10% และเติบโตได้ 12% ในปี 58
* ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral แนะนำเลือกซื้อลงทุน หุ้นเด่นในกลุ่มนี้ คือ SAT, STANLY,AH
• AOT : บอร์ดมีมติให้ศึกษาการปรับอาคารผู้โดยสาร Multi Terminal แทนการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 เพื่อลดภาระการลงทุน & ดอกเบี้ยจ่าย แต่ได้ Capacity เพิ่ม
* บอร์ดให้ศึกษาแผนปรับอาคารผู้โดยสารแทนขยายเฟส 2 เมื่อวานนี้ (21 ส.ค.57)คณะกรรมการ AOT มีมติให้ศึกษาแผนดำเนินงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารบนแผนเดิมโดยให้เวลา 2 เดือน แล้วนำกลับมาพิจารณาในที่ประชุมบอร์ดบริษัทอีกครั้งหนึ่งก่อนนำเสนอครม.ต่อไป ทั้งนี้โครงการขยายท่าอากาศยานสุวรณภูมิระยะที่ 2 ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ
ใกล้เคียงกันที่ 20 ล้านคนต่อปี ... ยังคง
แนะนำซื้อ AOTคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)
* ใช้เงินลงทุนน้อยลง ลดภาระการกู้ยืม แต่ Capacity เพิ่มใกล้เคียงกัน การปรับอาคารผู้โดยสาร Multi Terminal ซึ่งมีหลุมจอดเครื่องบินอยู่แล้ว ใช้งบลงทุน 2.4 หมื่นล้านบาท ลดลงจากการลงทุนขยายสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่จะใช้งบลงทุน 6.2 หมื่นล้านบาท แต่สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกันที่ 20 ล้านคนต่อปี เมื่อดำเนินการส่วนนี้เสร็จ คาดว่าจะเป็นปี 2561 สนามบินสุวรรณภูมิจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60-65 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันที่รองรับได้ 45 ล้านคนต่อปีและเมื่อรวมกับโครงการพัฒนาสนามบินสุวรณภูมิในปีงบประมาณ2557-2560 จะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิมีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 80 ล้านคนต่อปีซึ่งรองรับได้ถึงปี 2566 สำหรับการพัฒนาสนามบินดอนเมืองและภูเก็ตยังเป็นไปตามแผนเดิม
* พัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นเชิงพาณิชย์ เน้นรองรับเที่ยวบินเช่าเหมาลำ การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3 ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากคือเป็นหลักร้อยล้านบาทเนื่องจากจะเป็นเพียงการปรับปรุงอาคารเพิ่มเติม ตั้งเป้าเริ่มต้นรองรับผู้โดยสารที่ 2.5 ล้านคนต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเที่ยวบินเช่าเหมาลำ
* เรายังคงคำแนะนำซื้อ AOT โดยให้ราคาพื้นฐาน 237 บาท ทั้งนี้แม้ว่าโครงการลงทุนขยายCapacity ของสนามบินสุวรรณภูมิยังไม่นิ่งและอยู่ในช่วงศึกษาข้อมูลเพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและมีกระทบต่อภาระต้นทุนด้านการเงินกับบริษัทไม่มาก แต่คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน โดยคาดว่าจะสรุปแผนได้ภายในปลายปี 57 ทั้งนี้เชื่อว่าการขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของ AOT จะต้องเดินหน้าต่ออย่างแน่นอน ทั้งนี้เพื่อตอบสนองจำนวนผู้ใช้บริการสายการบินที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
• AMATA : เลื่อนการนำ AMATAVN เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ไปเป็นกลางปี 58 จากเดิม 3Q57
* นายวิกรม กรมดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการ AMATA กล่าวว่ากลุ่มบริษัทตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็น 1,000 ตารางกิโลเมตรภายในปี 2563 จากปัจจุบันมีพื้นที่อยู่ 100 ตารางกิโลเมตร
* นางสมหะทัย พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AMATAVN กล่าวว่าบริษัทได้มีการพิจารณาเลื่อนการนำ AMATAVN เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปเป็นช่วงกลางปี 58 จากแผนเดิมที่คาดว่าจะดำเนินการในช่วงไตรมาส 3/57 เนื่องจากความล่าช้าของการอนุมัติโครงการอมตะซิตี้ลัมถั่น จังหวัดดองไน ประเทศเวียดนาม ซึ่งมีพื้นที่ 8,031 ไร่(1,285 เฮคแตร์ ด้านโครงการลงทุนในประเทศพม่าขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ส่วนโครงการลงทุนในเวียดนามตอนเหนือจะมีการสรุปออกมาในช่วงปลายปี 2557
• การเมือง : พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ตามคาด ...เพื่อไทยแนะควรรีบยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก
* สนช.โหวตให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 เมื่อวานนี้ (21ส.ค.57) ด้วยคะแนนเสียง 191 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้ตรวจคุณสมบัติและส่งชื่อชึ้นทูลเกล้าฯในหลวงเพื่อทรงแต่งตั้งแล้ว
* พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หวังให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ด้วยดี หลังโปรดเกล้าฯแล้วจะชี้แจงแนวทางการทำงาน สำหรับการตั้งคณะรัฐมนตรีจะเป็นไปตามโรดแมป
* พรรคเพื่อไทยแนะให้รัฐบาลเร่งพิจารณาประกาศยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]