WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

GBXบล.โกลเบล็ก : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

Market View : เลือกเก็บหุ้น Q2/17 โต
Stock of the town : GCAP FANCY
หุ้นแนะนำพิเศษ : PPS


หุ้นมีข่าว : MGT TRC SELIC SPALI QH
  ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อกลุ่มธนาคารหลังราคาอ่อนตัวลงมากจน Valuation น่าสนใจ อีกทั้งแรงซื้อหุ้นรายตัวดักงบ Q2/17 ส่งผลให้ SET ปิดที่ 1,577.44 จุด (+3.77 จุด) Vol. 3.5 หมื่นลบ. โดย Foreign Net –886 ลบ. TFEX Net +5,571 สัญญา ตลาดตราสารหนี้ +21,177 ลบ.


แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
  +/- ตลาดหุ้น DJ อ่อนตัวลง จากความกังวลทางการเมืองหลังสหรัฐเตือนว่าจะตอบโต้เกาหลีเหนือด้วยวิธีการที่รุนแรง หากยังเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ
  +/- ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงล่าสุด 49 US/Barrel จากความกังวลข่าวการผลิตน้ำมันของลิเบียเพิ่มขึ้น แม้ว่าซาอุฯจะลดการส่งออกน้ำมันแก่ลูกค้าทั่วโลกในเดือนหน้าอย่างน้อย 520,000 บาร์เรล/วัน
  + ททท.เตรียมหารือรมว.คลัง 10 ส.ค. เพื่อเสนอแพ็กเกจภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยว Q4/60 ภายใต้โครงการเที่ยวทั่วไทยไปถึงถิ่น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ และกระจายตัวไปยังเมืองรอง
  + ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า (ต.ค.) อยู่ที่ 104.01 เพิ่มขึ้น 3.99% จากเดือนก่อน เหตุนักลงทุนเชื่อเศรษฐกิจไทยฟื้น
  - ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฎาคมร่วงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน หลังราคาพืชผลการเกษตรต่ำและความกังวลน้ำท่วมภาคเหนือและอีสาน
  +/- Fund Flow ต่างชาติเป็น Net Sell 9 วันราว 1.8 หมื่นลบ. แม้ว่าเงินบาทจะยังแข็งค่าล่าสุด 33.2 Bath/USD
  ** 10 ส.ค. ประมูลรถไฟทางคู่ สายนครปฐม-หัวหิน 1.58 หมื่นลบ.
  ** 11 ส.ค. MSCI ประกาศหุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี
  ภาวะตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน โดยแม้ว่าจะมีแรงซื้อดักงบ Q2/17 เป็นตัวหนุนภาวะตลาด อย่างไรก็ตาม Fund Flow ต่างชาติที่เป็น Net Sell ต่อเนื่องยังคงกดดันต่อทิศทางดัชนี ดังนั้นประเมินว่า SET จะแกว่งตัวในกรอบ 1,570 – 1,585 จุด


กลยุทธ์การลงทุน Selective Buy
  - กลุ่มท่องเที่ยว 10 ส.ค. ททท.เตรียมหารือรมว.คลัง เสนอแพ็กเกจภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยว Q4/60
  - BANPU ราคาถ่านหินทรงตัวระดับสูงล่าสุด 94 US/Ton
  - กลุ่มโรงกลั่น ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นล่าสุดราว 7 US/Barrel
  - SYNEX COM7 SIS BIZ MGT กลุ่มนำเข้าได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า
  - กลุ่มที่คาดว่างบ Q2/17 จะเติบโตขึ้น CK BPP BANPU RS LH HARN WICE JWD LIT BIZ ECF PPS SYNEX


หุ้นแนะนำพิเศษ
PPS (ราคาปิด 1.69 ซื้อ ราคาเหมาะสม 2.07)
ดำเนินธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาให้บริการด้านบริหารและควบคุมโครงการก่อสร้างงานต่างๆ ทั้งและเอกชน ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ราว 427 ล้านบาท และมีงานภาครัฐที่จะทยอยประมูลใน 2H60 ราว 2.85 แสนล้านบาทหรือคิดเป็นมูลค่างานควบคุมโครงการราว 5 พันล้านบาท
คาดผลประกอบการ 2Q60 อยู่ที่ราว 14 ล้านบาททรงตัวใกล้เคียงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แต่เติบโต 658% จากปีก่อนเนื่องจากคาดว่าจะมีรายได้ราว 90 ล้านบาทจากการรับรู้รายได้จาก Backlog นอกจากนี้ในไตรมาสนี้ไม่มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ 6 ล้านบาทเหมือนในไตรมาส 2/59 โดยคาดว่าจะมีการกลับรายการหนี้สงสัยจะสูญเข้ามา 1.5 ล้านบาทใน 2Q60 (คาดทั้งปีได้รับชำระหนี้คืนครบ 6 ล้านบาท)
คาดกำไรปี 60 อยู่ที่ราว 51 ล้านบาท(ยังไม่ได้รวมงานประมูลภาครัฐใน 2H60 ) เติบโต 58%YoY และมี upside จากงานประมูลภาครัฐมูลค่างานราว 5 พันล้านบาททีจะเปิดประมูลใน 2H60 ทั้งรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ขณะที่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่คือเงินเดือนพนักงานซึ่งเป็นต้นทุนคงที่


หุ้นมีข่าว
MGT (ราคาปิด 3.70 ถือ ราคาเหมาะสม 3.47) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 10 ล้านบาท -14%QoQ แต่ +44%YoY เนื่องจากกำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 27% สู่ 28.5% เนื่องจากการบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รายได้ยังทรงตัวแม้ว่าจะเพิ่มจำนวนพนักงานขายจาก 7 เป็น 14 คน โดยเราคาดว่าการเพิ่มจำนวนพนักงานขายจะเห็นผลชัดเจนขึ้นในช่วง 2H60 เนื่องจากผ่านการอบรมและเรียนรู้วิธีการทำงานมาแล้ว นอกจากนี้จะมีการเปิดสาขาที่หาดใหญ่ และนครพนมเป็นตัวหนุนรายได้ให้ 2H60 เติบโตกว่าครึ่งปีแรก
TRC (ราคาปิด 1.23 ซื้อ ราคาเหมาะสม 1.53) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 71 ล้านบาท +270%YoY และ +275%QoQ แม้ว่ารายได้จะปรับตัวลงเกือบครึ่งหนึ่งสู่ระดับ 436 ล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 38% จากระดับปกติที่ 20% เนื่องจากสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าที่ตั้งงบประมาณไว้ตอนเริ่มก่อสร้างส่งผลให้มีการบันทึกกำไรเข้ามาเพิ่มเติม นอกจากนี้มีประเด็นบวกเตรียมเข้าร่วมงานประมูลงานวางท่อก๊าซ PTT เส้นที่ 5 พร้อมพันธมิตรมูลค่างานรวมราว 9.6 หมื่นล้านบาทคาดรู้ผลเดือนต.ค.-พ.ย. ส่วนโครงการ APOT แม้ว่าก.คลังจะเพิ่มทุนเข้ามาแต่ยังมีกระบวนการในการใส่เงินเพิ่มทุนเพิ่มเติบจากผู้ถือหุ้นและตัวแทนคลังทำให้การเซ็นสัญญาก่อสร้างล่าช้าออกไปโดยคาดว่าจะเซ็นสัญญากับ TRC ได้ภายใน 4Q60


SELIC (ราคาปิด 3.04 กำลังทบทวนประมาณการเชิงลบ ราคาเหมาะสม 3.65) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 5.4 ล้านบาท -52%YoY และ -22%QoQ โดยกำไรอ่อนตัวลงเนื่องจากต้นทุนขายปรับตัวขึ้นตตามสารเคมีภัณฑ์ตั้งต้นในการผลิตกาว นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการบริหารยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากการเพิ่มจำนวนนักวิจัยคอยกดดันผลประกอบการเพิ่มเติม โดยการขยายตลาดใหม่และการตั้งโรงงานใหม่ยังต้องอีกระยะถึงจะเห็นผลเนื่องจากเป็นการเข้าไปเจาะตลาดที่มีผู้เล่นหลักอยู่แล้วทำให้ต้องใข้เวลาอีกราว 6-12 เดือน
AMA (ราคาปิด 16.80 บาท กำลังทบทวนประมาณการเชิงลบ ราคาเหมาะสม 26.80 บาท) รายงานกำไรสุทธิงวด 2Q60 อยู่ที่ 30.7 ล้านบาท ลดลง 25.2%YOY โดยแม้รายได้เพิ่มขึ้น 45.8%YOY แบ่งเป็นรายได้จากการเดินเรือเพิ่มขึ้น 40%YOY จากการขยายกองเรือ และรายได้จากการเดิมรถเพิ่มขึ้น 60%YOY แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 53%YOY เนื่องจากมีการนำเรือเข้าอู่เพื่อปรับปรุงระบบการบริหารจัดการน้ำอับเฉา นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษ จากรายการหนี้สงสัยจะสูญอีก 8.96 ล้านบาท มาจากรายการ “ภาษีซื้อที่ขอคืนไม่ได้” ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการเพิ่มชึ้นในอัตราใกล้เคียงกับรายได้รวม ทั้งนี้ กำไรในช่วง 1H60 ของ AMA คิดเป็นเพียง 28.7% ของประมาณการทั้งปีของฝ่ายวิจัย เนื่องจากเหตุการณ์พิเศษส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าผลประกอบการดังกล่าวจะมีโอกาสเป็นจุดต่ำสุด ก่อนที่จะมีโอกาสฟื้นตัวใหม่อีกครั้งจากผลของกองเรือที่พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบและโอกาสขยายกองเรือที่ยังยืนตามแผนเดิมในอนาคต อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังอยู่ในระหว่างทบกวนปรับประมาณการกำไรของ AMA


PDG (ราคาปิด 4.58 บาท ทยอยซื้อสะสม ราคาเหมาะสม 6.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิออกงวด 2Q60 มาอยู่ที่ 17.1 ล้านบาท ลดลง 17.4%YOY หลักๆเกิดจากรายได้จากการดำเนินการชะลอตัว 3.8%YOY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 23.7% ในงวด 2Q59 มาอยู่ที่ 21.1% ในงวด 2Q60 เป็นจุดต่ำสุดในรอบ 7 ไตรมาส ขณะที่ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายทรงตัวอยู่ที่ 8.3% เช่นเดียวกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ แม้กำไรของ PDG จะคิดเป็นเพียง 37.6% ของประมาณการของฝ่ายวิจัย แต่ PDG ยังมีโอกาสนได้รับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล การจับจ่ายใช้สอยปลายปี ที่จำส่งผลให้ผู้ประกอบการเพิ่มคำสั่งผลิตในช่วงปลายไตรมาส 3 และต้นไตรมาส 4 ซึ่งจะผลักดันผลประกอบการในช่วง 2H60 โดยรวมฝ่ายวิจัยจึงยังคงประมาณการตามเดิมก่อนที่ 101 ล้านบาท เติบโต 8.7%YOY ล่าสุด บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลที่ 0.08 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบเทนเงินปันผล 1.7% ขึ้น XD วันที่ 21 ส.ค. 60 เป็นไปตามที่คาด ตามปรกติที่จะมีการจ่ายงวด 1H ที่ต่ำและเพิ่มขึ้นสูงในช่วง 2H คาดคิดเป็น DIV. YIELD อีก 4%
SPALI แจ้ง 2Q60 มีกำไรสุทธิ 1,328 ลบ.-7% 1H60 มีกำไร 2,015 ลบ. -29% ผู้บริหาร เผยมี backlog 3.7 หมื่นล้านบาทรองรับรายได้นาน 3 ปีข้างหน้า วางเป้ารายได้โตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี
QH แจ้ง 2Q60 มีกำไรสุทธิ 776 ล้านบาท -13%yoy 1H60 มีกำไรสุทธิ 1,429 ล้านบาท -13%yoy พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.07 บาท XD 21 ส.ค. Yield 2.8%
ZIGA เคาะราคาไอพีโอหุ้นละ 5.90 บาท เสนอขาย 130 ล้านหุ้น จองซื้อ 9-11 สิงหาคม เริ่มซื้อขายในตลาดเอ็มเอไอ17 สิงหาคม เพื่อระดมทุนสร้างโรงงานใหม่ 350 ล้านบาทขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 60,000 ตัน


สรุปภาวะตลาดต่างประเทศ
ตลาดหุ้นดาวโจนส์ : -33.08 จุด
  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,085.34 จุด ลดลง 33.08 จุด หรือ -0.15% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,370.46 จุด ลดลง 13.31 จุด หรือ -0.21% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,474.92 จุด ลดลง 5.99 จุด หรือ -0.24% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้ออกมาเตือนว่าจะตอบโต้เกาหลีเหนือด้วยวิธีการที่รุนแรง หากเกาหลีเหนือยังคงเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ


ตลาดน้ำมัน NYMEX : -0.22 USD/Barrel
  สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 22 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 49.17 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นของลิเบีย ซึ่งได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า ซาอุดิอาระเบียจะลดการส่งออกน้ำมันในเดือนหน้า


หุ้นเริ่มซื้อขายวันแรก : INGRS (ราคา IPO 1.33 บาท)
บมจ.อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) เป็น Holding Company ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ด้วยกระบวนการทั้งการรีดขึ้นรูปและปั๊มขึ้นรูป โดยมี IAV เป็นศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศไทย มีรายได้หลักมาจาก มาเลเซียเป็นอันดับ 1 ที่ 55%


การเสนอขายหุ้นแบบ IPO จำนวน 578.44 ล้านหุ้น มีหุ้นมาจาก 2 ส่วน คือ 1) หุ้นเพิ่มทุน 261.56 ล้านหุ้น และ 2) หุ้นเดิม 316.88 ล้านหุ้น โดยราคาเสนอขายอยู่ที่ 1.33 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายทั้งสิ้น 769.33 ล้านบาท คิดเป็นเงินสดที่เข้าบริษัทที่ 347.9 ล้านบาท โดยมีจุดประสงค์เพื่อ นำเงินส่วนหนึ่งมาชำระเงินกู้ยืมระยะยาวจาก Maybank รวมราว 695.02 ล้านบาท และใช้สนับสนุนการขยายกิจการของบริษัทและบริษัทย่อย
ราคาเสนอขายดังกล่าว คิดเป็น PER ที่ 10.6 เท่า หลัง Fully Diluted แล้ว ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยจาก Peers ที่ 15.4 เท่า อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากหุ้นที่ถือโดย ICB ซึ่งไม่ติดใน Silent Period อีกราว 72.68ล้านหุ้น
Analyst – วิลาสินี บุญมาสูงทรง , ชัยยศ จิวางกูร, ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ธนวินท์ พิเชษฐศิริพร, สรรพกัณฑ์ ปัทมบริสุทธิ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์-ระพีพัฒน์ ด่านไพบูลย์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!