- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 02 August 2017 18:24
- Hits: 854
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
เคลื่อนไหวในกรอบแคบ? คาดการเคลื่อนไหวเป็นแบบ sideway โดยคาดยังมีความผันผวนตามตลาดส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ภายใต้ที่ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ ขณะที่ยังอยู่ในช่วงของการประกาศผลการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตามคาดยังมีปัจจัยเดิมจากต่างประเทศ ที่คาดกดดันภาพรวมตลาด (1) การส่งสัญญาณของเฟดปรับลดงบดุลจากระดับปัจจุบันที่ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่คาดจะประกาศในเดือนก.ย. นี้ (ประชุมเฟด 19 – 20/9/60) และ (2) ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯ หลังวุฒิสภามีมติคัดค้านการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับโอบามาแคร์ ซึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่า ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถผลักดันมาตรการต่างๆ ตามที่เคยหาเสียง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงนโยบายการปฏิรูปภาษี ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง คาดส่งผลดีต่อทิศทางเงินลงทุนจากต่างชาติ
ส่วนราคาน้ำมัน กลับมามีความผันผวน หลังตัวเลขการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกล่าสุด ยังเพิ่มขึ้นและเป็นระดับสูงสุดในรอบปี แม้มีความพยายามจะลดปริมาณผลิตลงเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา คาดอาจมีแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันล่าสุดที่ปรับลดลง อย่างไรก็ตาม
แนะติดตามหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่คาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดของปีนี้ ล่าสุดอยู่ที่ 8.31USD/บาร์เรล
ทางด้านประเด็นในประเทศ (+) แรงเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q/60 และเงินปันผล ถึงกลางเดือน ส.ค.
(+/-) Fund Flow ยังมีความผันผวนจากแรงซื้อ/ขายสุทธิ สลับกัน แนะติดตามค่าเงินบาท ซึ่งยังคงแข็งต่อเนื่องในรอบเกือบ 2 ปี โดยเคลื่อนไหวบริเวณ 33.28 - 33.30 บาท และภายใต้เงินบาทที่แข็งค่าดังกล่าว คาดส่งผลกระทบทางลบต่อหุ้นในกลุ่มส่งออก
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR, CBG เป็นต้น
(2) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(3) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น CK และ UNIQ เป็นต้น
SET SET50 SET100
1,576.45 +0.37 1,002.77 -1.19 2,250.50 -0.11
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +72.80, NASDAQ +14.82, S&P +6.05, FTSE +51.66, CAC +33.26 และ DAX +133.04
DJIA ทำ New High ติดต่อกันเป็นวันที่ 5 และเข้าใกล้ระดับ 22,000 จุด ภายใต้ปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนและการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มการเงิน เช่น เจพีมอร์แกน และโกลด์แมน แซคส์ เป็นต้น
ขณะที่สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจ (-) การใช้จ่ายภาคการก่อสร้าง – มิ.ย. ลดลง 1.3% อยู่ที่ 1.21 ล้านล้านUSD ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่ก.ย.’59 สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% (+) การใช้จ่ายของผู้บริโภค – มิ.ย. เพิ่มขึ้น 0.1% สอดคล้องกับคาดการณ์ ขณะที่ดัชนีภาคการผลิตของ ISM – ก.ค. อยู่ที่ 56.3 ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่เป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน
ขณะที่อยู่ระหว่างรอสภาคองเกรส พิจารณาปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ก่อนที่จะปิดสมัยประชุม เพื่อให้สหรัฐฯ สามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ โดยปัจจุบันรัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอถึงเดือนก.ย. นี้ เท่านั้น
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยบวกเพิ่มจากตัวเลข GDP – 2Q/60 ของยูโรโซน ขยายตัว 0.6%qoq และ 2.1%yoy รวมถึงผลประกอบการของ บีพี พีแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ ที่สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งใน 2Q/60
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.39 1.91 3.07
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 39,095.36
สถาบัน -611.86
บัญชีหลักทรัพย์ -66.66
ต่างประเทศ -468.77
ในประเทศ -76.44
(4) กลุ่มพลังงาน เช่น BCP, TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น และ PTT ที่ผลการดำเนินงานยังมีความแข็งแกร่งต่อเนื่อง
(5) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง 2Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น MONO และ WORK
(6) กลุ่มท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว เช่น CENTEL, MINT
(7) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.04 อยู่ที่ 2.25%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.17 อยู่ที่ 10.09
หุ้นแนะนำ : TOP
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร. 02-684-8788