WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

'เลือกซื้อค่าบวก/หรือเมื่อ SET เหนือ 1575'

หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
       ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET Index +1.75 จุดปิดที่ 1583.17 โดยเริ่มเห็นการสะสมหุ้นแบงค์ใหญ่ แต่ก็ถูกกดดันด้วยแรงขายหุ้น Big cap อย่าง SCC, ADVANC, INTUCH, DTAC รวมถึงเกณฑ์ใหม่ที่เข้มงวดธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิต&ส่วนบุคคลมากขึ้น ก็กดดันหุ้น AEONTS, KTC เป็นต้น นลท.ต่างชาติ พอร์ตบล. และรายย่อยขายสุทธิ ส่วนสถาบันในปท.เป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิ 2.5 พันลบ.
       ประเด็นสำคัญวันนี้ : ปัจจัยภายนอก - เฟดคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% ตามคาด ตลาดประเมินว่าเฟดจะเริ่มลดงบดุลในการประชุมครั้งหน้าเดือนก.ย.60 ดัชนีค่าเงิน US$ แกว่งบริเวณ 93.4+/- ด้านราคาน้ำมันดิบบวกต่อ 1.5%-1.8% โดย BRENT ปิดเหนือ 50 US$/bbl แล้วเพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ Week ก่อนลดลงถึง 7.2 ล้านจากที่คาดว่าจะลด 2.6 ล้านบาร์เรล


ปัจจัยในประเทศ - จับตาผลประกอบการ 2Q60 และการประกาศปันผลระหว่างกาลที่กำลังทยอยออกมา คาดกลุ่มที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวจะมีกำไรโตดี เช่น ERW, MINT, AOT เป็นต้น และติดตามความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะมีมากขึ้นใน 2H60 สำหรับเกณฑ์ใหม่ที่จำกัดสินเชื่อบัตรเครดิต&สินเชื่อส่วนบุคคลของธปท. ที่จะเริ่มใช้ 1 ก.ย.นี้ เป็นลบกับแนวโน้มผลประกอบการตั้งแต่ปี 4Q60 และ Sentiment หุ้น AEONTS, KTC ฯลฯ นักวิเคราะห์ปรับลดราคาเป้าหมาย KTC ลงราว 10% มาเป็นประมาณ 115+/- บาท ทั้งนี้เกณฑ์ใหม่จะมีผลบังคับใช้กับลูกค้าใหม่เท่านั้น กลยุทธ์การลงทุน : เลือกซื้อรายบริษัท หุ้นกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น HANA
+ HANA : คาดกำไรหลัก 2Q60F ที่ 595 ลบ. (+45%YoY, -5%QoQ) หนุนโดยรายได้รูป US$ +15%YoY GPM เพิ่มเพราะมี Economy of Scale แม้บาทแข็ง การลด QoQ เพราะปัจจัยฤดูกาล แนวโน้ม 3Q แกร่งเพราะเป็น High season ของส่งออก แนะนำซื้อ ให้ TP 58 บาท


-/ SCC : กำไร 2Q60 ที่ 1.32 หมื่นลบ. (-24%QoQ) ต่ำกว่าคาด เนื่องจากสเปรดปิโตรเคมีลดลง การแข่งขันราคาซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น แนวโน้มกำไร 2H60 จะอ่อนลง HoH เพราะกำไร 1Q60 สูงมาก (1.74 หมื่นลบ.) ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 8.50 บาท XD 7 ส.ค.นี้ คิดเป็น Yield 1.7% เป็นไปตามคาด เชื่อว่าแนวโน้มระยะยาวยังไปได้ดี ราคาหุ้นอ่อนตัวเป็นจังหวะซื้อสะสม ให้ TP 580 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวก/หรือเมื่อเหนือ 1575 แนวรับ 1570-1560 แนวต้าน 1585,1590-1595 และ Stop loss เมื่อหลุด 1575 จุด สำหรับการ SCAN หุ้นที่คาดว่าราคาจะทำ New High ได้ พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น CK, BH, BR, TNR หุ้นยังอยู่ใน List คือ RJH, JWD หุ้นหลุด List -ไม่มี- ส่วนหุ้นแนะนำที่ให้หาจังหวะขายทำกำไรคือ JMART, TTCL, BEAUTY, NETBAY

นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค& Reseach Team - [email protected]


Need to know TODAY

ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ

ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ


สหรัฐ : เฟดคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% ตามคาด
* คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.00-1.25% ในการประชุม 25-26 ก.ค.นี้ และได้ส่งสัญญาณที่จะเริ่มปรับลดงบดุลในเดือนก.ย. จากปัจจุบันที่ระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ในไม่ช้านี้ โดยขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจว่าจะปรับตัวตามที่เฟดคาดการณ์ไว้หรือไม่
* ทางด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดงบดุลในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนก.ย.60

+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่มิ.ย.เพิ่มขึ้นต่อ
* ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนมิ.ย. (+0.8%MoM) สู่ระดับ 610,000 ยูนิต ขณะที่สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่าจำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนอง +0.4% ในสัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ปรับตัวลง

 

สหรัฐ : ปัจจัยจับตาในระยะสั้น
นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ 1. การปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ ซึ่งรัฐมนตรีคลังสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอแค่ถึงเดือนก.ย.60 นี้เท่านั้น จึงขอเรียกร้องให้สภาคองเกรสเพิ่มเพดานหนี้ ก่อนที่จะปิดสมัยประชุมในเดือนส.ค.60 เพื่อให้สหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้, 2. การโหวตร่างกฎหมายประกันสุขภาพของวุฒิสภา ที่จะนำมาใช้แทนโอบามาแคร์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่กำหนดวันโหวตคาดว่าเพราะคะแนนเสียงรีพับลิกันยังไม่เพียงพอที่จะโหวตร่างฯให้ผ่านได้ และ 3. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ & จีดีพีไตรมาส 2/60

+ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ตลาดบวกรับข่าวเฟดมีมติคงดอกเบี้ยตามคาด & กำไรบจ.ใหญ่ออกมาดี
* ดัชนี DJIA +97.58 จุด หรือ +0.45% ดัชนี S&P500 +0.70 จุด หรือ +0.03% และดัชนี Nasdaq +10.57 จุด หรือ +0.16% ตอบรับเฟดคงดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 1.25% และจะเริ่มทยอยลดงบดุลในไม่ช้านี้ และกำไรบริษัทขนาดใหญ่ออกมาดี รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นต่อด้วย

+ ตลาดน้ำมัน : ปรับขึ้นต่อ 1.5%-1.8%...BRENT ปิดเหนือ 50 US$/bbl แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ +1.8% ปิดที่ 48.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. ส่วน BRENT เพิ่มขึ้น 77 เซนต์ หรือ +1.5% ปิดที่ 50.97 ดอลลาร์/บาร์เรล หนุนโดยรายงานของ EIA ที่ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงถึง 7.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.6 ล้านบาร์เรล และเป็นการปรับตัวลดลงติดต่อกันสัปดาห์ที่ 4

 

- ตลาดทองคำนิวยอร์ก : ราคาทองปิดลบ 2.70 ดอลลาร์ก่อนตลาดรู้ผลประชุมเฟด
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 2.70 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่ระดับ 1,249.40 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ปัจจัยในประเทศ และหุ้นมีข่าว
- เกณฑ์จำกัดสินเชื่อบัตรเครดิต&สินเชื่อส่วนบุคคลจะเริ่มใช้ 1 ก.ย.นี้...เป็นลบกับ AEONTS, KTC ฯลฯ
* ธปท.ประกาศเกณฑ์ใหม่เพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล โดยเปลี่ยนวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิตจากเดิมไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน เป็นลักษณะขั้นบันไดตั้งแต่ 1.5-5 เท่าของรายได้ต่อสถาบันการเงิน และปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตลงมาที่ 18% ต่อปีจากเดิมที่ 20% ต่อปี และในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคลมีการเพิ่มข้อกำหนดแก่กลุ่มลูกค้ารายได้ไม่เกิน 30,000 บาทที่จะได้รับวงเงินสินเชื่อบุคคลจากผู้ประกอบการไม่เกิน 3 ราย หรือคิดเป็นเพดานวงเงินจากผู้ประกอบการทุกรายรวมกันไม่เกิน 4.5 เท่า


* ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตลง 2% (จาก 20% เป็น 18%) อาจส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยของผู้ประกอบการทั้งธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ในไตรมาส 4/60 ลดลง 750-900 ล้านบาท ซึ่งสำหรับเฉพาะส่วนของธนาคารพาณิชย์ จะคิดเป็นประมาณ 0.3% ของรายได้ดอกเบี้ยรวม ขณะที่ผลกระทบในทางปฏิบัติอื่นๆ คาดว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่น่าจะสามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากเกณฑ์จะบังคับใช้เฉพาะกับลูกค้าใหม่เท่านั้น และให้ระยะเวลาในการปรับตัว อีกทั้งในปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็มีการอนุมัติเพดานสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในกรอบที่ไม่หนีไปจากเกณฑ์ใหม่ของ ธปท. อยู่แล้ว

BCPG (ราคาปิด 15.30 บาท) : ปิดดีลไฟฟ้าอินโด บันทึกส่วนแบ่งกำไร 3Q60 ทันที
BCPG บรรลุดีลการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ กำลังผลิต 182 MW และพร้อมบุ๊คส่วนแบ่งกำไรเข้าไตรมาส 3/60 สำหรับกำไรไตรมาส 2/60 จะเติบโต 12-13%QoQ และบวกราว 50%YoY จากรายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยส่วนเพิ่มหลักมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ฟิลิลปินส์ ราคาพื้นฐานใน IAA consensus อยู่ที่ 16.50 บาท (Median)

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!