- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Saturday, 22 July 2017 04:29
- Hits: 8973
บล.ทรีนีตี้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Today Selection >> HMPRO, IRPC, THAI
Stock S R Comment
HMPRO 9.40 9.55 ราคาสะท้อนปัจจัยลบ ยัง Laggard กลุ่ม
IRPC 5.10 5.30 หุ้นยัง Laggard กลุ่ม
THAI 19.50 20.00 บาทแข็งที่สุดในรอบ 2 ปี
Waiting for QE tightening talk in September
การแถลงของ BOJ เมื่อวานนี้ (20 ก.ค. 2560) ที่ประชุมได้มีมติคงนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายตามเดิม และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิมที่ -0.1% พร้อมปรับคาดการณ์ GDP ปี 2560 จาก 1.6% สู่ระดับ 1.8% แต่ด้านอัตราเงินเฟ้อได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อในปีงบประมาณ 2560 ลงเหลือ 1.1% จากระดับ 1.4%
ผลการประชุม ECB เมื่อคืนนี้ (20 ก.ค. 2560) มีมติคงนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายตามเดิม โดยที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0% และระดับการเข้าซื้อพันธบัตรที่ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน อย่างไรก็ดี นายมาริโอ ดรากี ได้กล่าวว่าจะมีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินว่าอาจมีการพิจรณาอีกครั้งราวเดือนก.ย. 2560 แต่ก็ไม่ได้ระบุถึงระยะเวลาที่จะดำเนินการ ซึ่งหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ค่าเงินยูโรได้แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี
จับตารอดูการประกาศตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯและการประชุม FOMC ในสัปดาห์หน้า ซึ่งตลาดคาดว่า Fed จะยังคงนโยบายการเงินตามเดิม แตโทนการประชุมคาดว่าจะมีผลต่อ Fund Flow และตลาดหุ้นทั่วโลก หากว่าโทนการประชุมเป็นไปในทาง Hawkish คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นอาจมีการผันผวนไปในทิศทางขาลง แต่อย่างไรก็ดี เราคาดว่า Fed จะยังคงมีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำและอาจยังต้องพึงพิงนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายก่อน
หลัง EIA เปิดเผยถึงสต๊อกน้ำดิบของสหรัฐฯที่ลดต่ำลงกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันแล้ว ประกอบกับซาอุดิอาราเบียเตรียมพิจารณาปรับลดการส่งออกน้ำมันเพิ่มอีกราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกน้ำมันของซาอุดิอาราเบียอยู่ในระดับต่ำสุดของปีนี้ และซาอุดิอาราเบียยังคงจะร่วมมือกับกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันต่อไป จับตาการประชุมของรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันจาก 5 ประเทศในกลุ่มโอเปก (24 ก.ค.) เพื่อตรวจสอบความร่วมมือของชาติสมาชิกด้านการปรับลดกำลังการผลิตตามข้อตกลง และอาจจะมีการเสนอมาตราการกระตุ้นราคาเพื่อเข้าสู่วาระการประชุมของกลุ่มโอเปกในเดือนพ.ย.นี้
ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทยังคงอยู่ในทิศทางแข็งค่า โดยเงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา อยู่ที่ 33.53 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือนับตั้งแต่ต้นปีเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นกว่า 6.5% จากเงินบาทที่แข็งค่านั้น ประเมินจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นในกลุ่มต่อไปนี้ 1) กลุ่มหุ้นที่มีต้นทุนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น TVO (นำเข้าถั่ว) กลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC, TOP, BCP (ต้นทุนน้ำมัน) กลุ่มโรงไฟฟ้าที่อ้างอิงราคาก๊าซและเงินบาท เช่น GLOW, EGCO, RATCH,GPSC และ WHAUP 2) กลุ่มหุ้นที่มีเงินกู้เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น THAI และ AAV (สัญญาเช่าทางการเงิน)
STEC : คาด 2Q60 รายได้ปรับตัวลดลง 5% QoQ แต่ปรับตัวสูงขึ้น 25% โดย STEC ยอด Backlog อยู่ที่ 1.0 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ของ STEC เรายังคงแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว ที่ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท
KBANK : ประกาศกำไรสุทธิ 2Q60 ที่ 8.98 พันล้านบาท ปรับตัวลดลง 12% QoQ และลดลง 5% YoY เราได้ปรับประมาณการณ์ปี 2560 ลง 6% แต่คาดว่า NPL ใหม่จะไม่สูงเท่าใน 1H60 เราจึงแนะนำเพียงถือ ที่ราคา 192 บาท
KTB : ประกาศกำไรสุทธิ 2Q60 ที่ 3.22 พันล้านบาท ปรับตัวลดลง 62% QoQ และลดลง 63% YoY ต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ เนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้ EARTH เราจึงปรับประมาณการณ์ปี 2560 ลง 15% และแนะนำเพียงถือทีราคา 19.50 บาท
BBL : ประกาศกำไรสุทธิสำหรับ 2Q60 ที่ 8.05 พันล้านบาท อ่อนตัวลง 3%QoQ แต่ยังเติบโตได้ 12%YoY ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ก่อนหน้า เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 60 ที่ 3.33 หมื่นล้านบาท โดยเรายัคงแนะนำถือที่ราคา 186 บาท
SCB : ประกาศกำไรสุทธิสำหรับ 2Q60 ที่ 1.19 หมื่นล้านบาท ทรงตัว QoQ แต่อ่อนตัว 7%YoY ดีกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้าราว 3% เราคาดกำไรสุทธิสำหรับปี 60 ไว้ที่ 5.096 หมื่นล้านบาท และคาดว่าช่วงที่เหลือของปีแนวโน้มสินเชื่อจะกลับมาเติบโตได้ดีขึ้นหลังเริ่มเห็นแนวโน้มการลงทุนในภาคธุรกิจซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ดอกเบี้ยได้ เราจึงยังคงแนะนำซื้อที่ 174 บาท
Strategy : ในช่วงที่เข้าสู่ Preview ผลประกอบการไตรมาส 2 นั้น เราจึงได้ทำการศึกษา EPS Revision กับ Price Performance ตั้งแต่ต้นปี เราพบว่ามี 3 Sector ที่มีความน่าสนใจ คือ AGRI, FIN และ PETRO โดย AGRI ได้มีการปรับลงมากกว่า EPS Revision ที่ปรับลง (Market Over-Reaction) ในขณะที่ FIN และ PETRO ปรับตัวน้อยกว่า EPS Revision ที่ปรับขึ้น (Market Under-Reaction) ได้แก่หุ้น VNT, IVL, KTC,SCC และ PTTGC
คาดการณ์ SET Index ปรับตัว Sideways ต่อไปในกรอบ 1540 - 1600 จุด เนื่องจากยังไม่เห็นปัจจัยที่มีแนวโน้มผลักดันดัชนีไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน แนะนำกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบแนวต้านแนวรับดังกล่าว และถือหุ้นกลุ่มแนะนำต่อไป ได้แก่
1) กลุ่มสาธารณูปโภค เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความผันผวนต่ำและสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับสูง เลือก BCPG และ WHAUP เป็น Top pick ของกลุ่ม จากแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ ส่วนหุ้นที่มี Dividend Yield ในระดับสูงและคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลคือ GLOW, EGCO, RATCH
2) กลุ่มสินค้าและบริการที่จำเป็น ได้แก่ กลุ่ม Consumer staples (CPALL, BJC) และกลุ่ม Healthcare (BCH, CHG) ที่มีแนวโน้มทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อต่ำ
กลุ่มพลังงาน ที่ราคายังคง Laggard ประกอบกับค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เลือก PTT, PTTEP สำหรับกลุ่ม Upstream และ BCP, SPRC, TOP สำหรับกลุ่มโรงกลั่น มองว่าตลาดรับรู้ประเด็น Inventory loss ของกลุ่มในไตรมาส 2/60 ไปพอสมควรแล้ว
แนวรับ 1,570 แนวต้าน 1,581
บทวิเคราะห์วันนี้
BBL (ถือ ราคาเป้าหมาย 186 บาท) กำไร 2Q60 ใกล้เคียงคาด NPL ขึ้นต่อ แต่ไม่กระทบกำไร
KBANK (ถือ ราคาเป้าหมาย 192 บาท) สำรองหนี้สูงกว่าคาด กดดันกำไร 2Q60
KTB (ถือ ราคาเป้าหมาย 19.50 บาท) สำรองหนี้พุ่งจากลูกหนี้รายใหญ่ กดดันกำไร 2Q60
SCB (ซื้อ ราคาเป้าหมาย 174 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 2Q60 ทรงตัว QoQ
STEC (ซื้อเมื่ออ่อนตัว ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท) คาดผลการดำเนินงานใน 2Q60 อ่อนตัว QoQ แต่เติบโต YoY มี Backlog สุดแกร่ง
Today's Event :
1DIV XD 0.4566 บาท
CCN XR 5:1 @ 6.00 บาท
MFC ลูกหุ้นเข้า 959,871 หุ้น
S ลูกหุ้นเข้า 400,000,000 หุ้น
TFD ลูกหุ้นเข้า 250,000,000 หุ้น
WORLD ลูกหุ้นเข้า 362,037,844 หุ้น
นักวิเคราะห์ : ณัฐชาต เมฆมาสิน, CFA, FRM (ID: 31379) E-mail: [email protected]
วฤณ มหาดำรงค์กุล (ID: 81151) E-mail: [email protected]