- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 30 June 2017 16:19
- Hits: 3278
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ระวังแรงขายทำกำไร? คาดมีโอกาสปรับลดลงตามตลาดต่างประเทศ ภายใต้ปัจจัยกดดัน หลังธนาคารกลางหลายประเทศ เช่น FED, BOE และ ECB เป็นต้น ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงทยอยลดวงเงิน QE
นอกจากนี้ คาดยังคงมีความกังวล โดยเฉพาะความไม่แน่นอนการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมการปฏิรูปภาษีของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งตลาดคาดหมายในเชิงบวกก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม คาดอาจมีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาในกลุ่มพลังงานบ้าง จากราคาน้ำมัน ที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง หลังก่อนหน้านี้ลดลงไปอยู่ที่ ประมาณ 42.50USD โดยล่าสุด อยู่ที่ 44.93USD แต่คาดภาพรวมยังคงมีความกังวลต่อภาวะอุปทานที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก
ส่วนทางด้านปัจจัยในประเทศ คาด Sentiment ในระยะสั้น จากการกลับเข้ามาซื้อสุทธิของต่างชาติ อีกเกือบ 3,000 ล้านบาท แต่แนะระวังแรงขายทำกำไร หลังอยู่ในช่วงท้ายๆ ของการทำ Window Dressing (30/6/60) อย่างไรก็ตามคาดเริ่มมีแรงเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q60 โดยเริ่มจากกลุ่มธนาคาร ประมาณกลางเดือนก.ค. ขณะที่คาดกลุ่มหุ้นที่
ผลประกอบการ 2Q/60 ดีต่อเนื่อง เช่น TOP, SPALI , MTLS และ WORK เป็นต้น พร้อมแนะติดตามการประชุม กนง. (5/7/60)
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ CBG เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์จากงานภาคเอกชนที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น CK, STEC และ UNIQ เป็นต้น
(6) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
SET SET50 SET100
1,578.12 -4.51 995.10 -2.23 2,245.46 -6.75
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-) ตลาดต่างประเทศ DJIA -167.58, NASDAQ -90.06, S&P -20.99, FTSE -37.48, CAC -98.55 และ DAX -231.08
แม้ได้รับปัจจัยบวกจากหุ้นกลุ่มธนาคาร จากการที่เฟด อนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ทั้ง 34 แห่ง สามารถเดินหน้าแผนเพิ่มการจ่ายเงินปันผล และซื้อหุ้นคืนได้ หลังธนาคารดังกล่าวผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ประจำปีรอบที่ 2 ของเฟด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี รวมถึงตัวเลขประมาณครั้งที่ 3 ของ GDP – 1Q/60 อยู่ที่ 1.4% ดีกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.2% แต่ยังมีน้ำหนักไม่เพียงต่อปัจจัยกดดันทั้งจาก (1) การขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ราคาปรับขึ้นมากสุด กว่า 15% ตั้งแต่ต้นปีนี้ที่ผ่านมา ภายใต้มีแนวโน้มที่จะเผชิญความผันผวนหากเศรษฐกิจชะลอตัวลง และ (2) ความกังวลต่อทิศทางนโยบายการเงินของหลายประเทศ ทั้งธนาคารกลางยุโรป –ECB และธนาคารกลางอังกฤษ - BoE ที่ออกมาส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน ทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงิน QE หลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว
ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ล่าสุด เพิ่มขึ้น 2,000 ราย อยู่ที่ 244,000 ราย สูงกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 240,000 ราย ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยลบ จากเงินยูโรที่แข็งค่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการส่งออกของยุโรป
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.36 1.90 3.09
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 51,287.84
สถาบัน +1,589.31
บัญชีหลักทรัพย์ -3,594.75
ต่างประเทศ +2,958.76
ในประเทศ -953.32
(7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(8) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.05 อยู่ที่ 2.27%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +1.41 อยู่ที่ 11.44
หุ้นแนะนำ : CK