WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

AIRAบล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน



ทิศทางตลาด
    มีโอกาสปรับลง? ภายใต้ปัจจัยกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่คาดมีแรงขายทำกำไร (Sell on Fact) หลังผลการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (Opec และ Non-Opec) ขยายระยะเวลาปรับลดการผลิตออกไป 9 เดือน ถึงมี.ค.’61 จากก่อนหน้านี้ที่คาดอาจขยายออกไป 12 เดือน และยังคงปริมาณผลิตที่ลดลงไว้ที่ 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน 
ขณะที่ยังแนะติดตามการประชุมเฟดในเดือนมิ.ย.  คาดยังเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้กับภาพรวมตลาดจนถึงวันประชุม แม้เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่จากผลสำรวจล่าสุด พบว่า มีโอกาสสูงถึง 83% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 13 – 14/6/60 รวมถึงประเด็นที่เฟดส่งสัญญาณทยอยปรับลดงบดุล ปัจจุบันที่ 4.5 ล้านล้านUSD ภายในปีนี้
ส่วนประเด็นในประเทศ คาดยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ คาดยังได้รับปัจจัยหนุนจาก Fund Flow ภายใต้แรงซื้อสุทธิของต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา แม้มูลค่าอาจไม่มากนัก ขณะที่แนะติดตามค่าเงินบาท ล่าสุด 34.05 – 34.07 บาท แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับประมาณ 34.50 บาท เมื่อช่วงต้นพ.ค. ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังแนะติดตามประเด็นที่สหรัฐฯ ระบุว่าไทยเป็น 1 ใน 16 ประเทศ ที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ล่าสูงสุดในรอบ 3 ปี มูลค่า 18,920 ล้านUSD หรือประมาณ 650,000 ล้านบาท และคาดสหรัฐฯ อาจมีมาตรการตอบโต้ออกมา (เช่น มาตรการด้านภาษี) ภายใน 90 วัน หรือประมาณต้น 3Q/60 โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงประมง เป็นต้น
ส่วนทางด้านปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนในการเปิดประมูลของภาครัฐ ซึ่งส่งผลต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น จากการขายซองประมูลราคา โครงการรถไฟทางคู่ เส้นทางหัวหิน – ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กม. มูลค่า 7,305 ล้านบาท ซึ่งกำหนดเปิดซองราคาในวันที่ 27/7/60 คาดมีแรงเก็งกำไรในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจนถึงวันประมูล โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ซื้อซองราคา เช่น ITD, CK, STEC, NWR, UNIQ และ PLE เป็นต้น

SET SET50 SET100
1,569.41     +3.26 992.43     +0.81 2,239.22     +2.64

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดต่างประเทศ DJIA +70.53, NASDAQ +42.23, S&P +10.68, FTSE +2.81, CAC -4.18 และ DAX -21.15
โดย Nasdaq และ S&P 500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับเพิ่มขึ้น และยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังบริษัทเบสท์ บาย ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด 
รวมถึงปัจจัยบวกจากรายงานการประชุมของเฟด - พ.ค. ซึ่งเฟดจะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปนั้น จะพิจารณาข้อมูลต่างๆอย่างรอบคอบระมัดระวัง สะท้อนให้เห็นว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ตาม กรรมการเฟดยังได้หารือเกี่ยวกับแผนการปรับลดงบดุลบัญชีของเฟด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.5 ล้านล้านUSD โดยมีความเห็นตรงกันว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาล และหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ในปีนี้
ขณะที่สหรัฐฯ เปิดเผยผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ล่าสุดเพิ่มขึ้น 1,000 ราย อยู่ที่ 234,000 ราย ดีกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 238,000 ราย
ส่วนราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับลดลง หลังที่ประชุมของกลุ่มประเทศ

ผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปก มีมติขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตออกไปอีก 9 เดือน จนถึงมี.ค.’61 โดยไม่มีการ??ปรับลดกำลังการผลิตมากขึ้น
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยลบจากผลการประชุมของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน ข้างต้น
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.30 1.89 3.12
ที่มา : www.set.or.th

มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 34,221.53
สถาบัน  +129.55
บัญชีหลักทรัพย์  +121.20
ต่างประเทศ  +311.71
ในประเทศ  -562.47

      ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ก.ค. -US$2.46 อยู่ที่US$48.90 ต่อบาร์เรล หลังผิดหวังต่อผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปก ที่มีมติขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตออกไปอีกเพียง 9 เดือน จากก่อนหน้าที่คาดโอเปกจะขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตออกไป 12 เดือน
และไม่มีการปรับลดกำลังการผลิตมากขึ้น โดยคงปริมาณการผลิตที่ลดลง ไว้ที่ 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน (Opec – 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน และ Non-Opec – 0.56 ล้านบาร์เรล/วัน)
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$3.3 อยู่ที่US$ 1,256.4 ต่อออนซ์ หลังเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจพบว่ามีโอกาส 83% ที่เฟดจะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 13 – 14/6/60
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +312 ล้านบาท สะสม YTD +9,173 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท)

ประเด็นที่ต้องติดตาม 26 พ.ค. 2560 
26/5/60 สหรัฐฯ เปิดเผย
 ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย.
ประมาณการครั้งที่ 2 ของ GDP – 1Q/60
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงท้ายเดือนพ.ค. 

และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ CBG เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาคเอกชนที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ เป็นต้น
(6) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ IRPC, TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น 
(7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK  
(8) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AOT

ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.01 อยู่ที่ 2.25%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54) 
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.03 อยู่ที่ 9.99

หุ้นแนะนำ : SQ

 นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์      โทร .02-684-8788

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!