WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASPบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน



กลยุทธ์การลงทุน
      ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงน่าจะสร้างแรงกดดันต่อกลุ่มพลังงานในระยะสั้น ส่วนตลาดหุ้นไทยยังมีมูลค่าการซื้อขายเบาบาง โดยนักลงทุนต่างชาติ และสถาบันฯ ไม่มีทิศทางชัดเจน ทำให้การปรับตัวขึ้นไปของ SET Index ก็น่าจะยากยิ่งขึ้น แต่ Downside ก็ถูกจำกัด ด้วย Valuation ที่ค่อนข้างต่ำ กลยุทธ์การลงทุนยัง Selective Buy เลือก VNG([email protected]), SCB(FV@B178) เป็น Top Picks

OPEC ตัดสินใจขยายระยะเวลาการลดกำลังผลิตออกไปอีก 9 เดือน เท่านั้น
      วานนี้สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ดิ่งลงมาเกือบ 5% มาอยู่ที่ 48.90 เหรียญฯต่อบาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อการประชุมของกลุ่ม OPEC ในวานนี้ ที่ทางกลุ่ม OPEC ตัดสินใจเพียงขยายระยะเวลาการลดกำลังผลิตน้ำมันดิบลงออกไปอีก 9 เดือน จนถึง มี.ค. 61 เท่านั้น (จากเดิมที่สิ้นสุดในเดือน มิ.ย. 60) เพื่อทำให้อุปทานน้ำมันดิบส่วนเกินในตลาดกลับสู่สภาวะสมดุลลที่ระดับค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี แต่ไม่ได้ลดกำลังการผลิตมากขึ้น
      และตลาดน้ำมันดิบโลกยังถูกกดดันจากการที่สหรัฐฯยังคงเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบจากหินดินดาน (Shale Oil) อย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอีก 8 หลุม มาอยู่ที่ 720 หลุม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 58 และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 18 อีกทั้งกำลังการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียที่มีแนวโน้มเพิ่มต่อเนื่อง จากการกลับมาดำเนินการผลิตของแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Sharara และ El Feel ส่งผลให้กำลังการผลิตของลิเบียปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 800,000 บาร์เรลต่อวัน ในช่วงสิ้นเดือน เม.ย. 60 สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2557
อย่างไรก็ตามภาพรวมทิศทางน้ำมันในระยะยาวยังอยู่ในช่วงขาขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นกลยุทธ์ยังคงแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นน้ำมันอย่าง PTTEP(FV@B116) และ PTT (FV@B460) ยามที่ราคาอ่อนตัวลงมา

รัฐเร่งเดินหน้า EEC หวังดึงเอกชน WHA เด่นสุดในกลุ่ม
      ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2560 ซึ่งจะทำให้ GDP Growth ขยายตัวที่ 3.5% (Consensus ในตลาดคาด) นอกเหนือจากการส่งออกและการเดินหน้าลงทุนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เห็นสัญญาณขยายตัวต่อเนื่อง ภาครัฐยังคาดหวังจะเห็นการฟื้นตัวจาก การลงทุนภาคเอกชนกลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้จะเห็นความคืบหน้าการออกมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนให้สิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งเน้นไปในพื้นที่ EEC 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา อาทิ ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่สิทธิการรับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเดิมสิ้นสุดอายุ (เป็นการบวกเพิ่มจาก Package ส่งเสริมการลงทุนของ BOI) , ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหลือ 17% สำหรับบุคคลทั้งไทยและต่างชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ EEC, ขยายระยะเวลาสัญญาการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (Leasehold) เป็นสูงสุด 99 ปี (50 ปี และสามารถต่ออายุได้อีก 49 ปี) จากเดิมสูงสุด 60 ปี (30+30 ปี) เป็นต้น
      นอกจากนี้ รัฐยังตั้งเป้าหมายที่จะให้เกิดโครงการเร่งด่วนในปี 2560 ในพื้นที่ EEC 5 โครงการ ได้แก่ 1) สนามบินอู่ตะเภา เป้าหมายคือ รองรับผู้โดยสาร 3 ล้านคน/ปีและคาดหวังให้เป็น Aerospace Cluster โดยเริ่มจากการซ่อมบำรุง(MRO) และค่อยขยับไปดึงดูดการลงทุนผู้ผลิตชิ้นส่วน Tier 3-4 2) รถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพ-ระยอง จะทำให้ 3 สนามบินหลักของประเทศเชื่อมต่อกันได้ภายใน 1 ชั่วโมง 3) ท่าเรือแหลมฉบังเฟส เป้าหมายคือ ขยายปริมาณการรองรับตู้คอนเทนเนอร์จาก 7 ล้าน TEU/ปี เพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้าน TEU/ปี 4) อุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรม โดยเน้นไปที่ อุตสาหกรรม 5 New S Curvew และ 5) เมืองใหม่ อาทิ โรงเรียน, มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาล, ศูนย์การค้า และชุมชน เพื่อรองรับต่อการขยายตัวของประชากรภาคตะวันออก
โดยภาพรวมการที่รัฐพยายามดึงดูดให้เอกชนมาลงทุนโดยเน้นไปในพื้นที่ EEC จะเป็นผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อาทิ AMATA, ROJNA, โดยเฉพาะ WHA([email protected]) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) เพราะนอกจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มสิทธิประโยชน์ภาษี จะส่งผลดีต่อ Presales นิคมฯระยะยาว คือ WHA มีนิคมรอขายและ Landbank ในพื้นที่ EEC ราว 1 หมื่นไร่ ขณะที่ AMATA มี 1.4 หมื่นไร่ นอกจากนี้ WHA ยังมีส่วนสำคัญในการวางแผนร่วมกับทหารเรือเพื่อพัฒนาคลัสเตอร์การบินที่สนามบินอู่ตะเภา เปิดโอกาสเข้าไปสร้างอาคารให้เช่าสำหรับกิจกรรมซ่อมบำรุง และ Air Cargo ทำให้มีความน่าสนใจมากที่สุด แนะนำซื้อ WHA([email protected]) มี Upside 15% และยังเป็นหุ้นที่ Laggard สุดในกลุ่มฯ

ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่อง
     แม้วานนี้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียจะหยุดทำการ เนื่องจากเป็นวัน Ascension Day แต่ตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่าราว 214 ล้านเหรียญ และเป็นการซื้อสุทธิทุกประเทศ นำโดย ไต้หวัน 110 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 84 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2), ฟิลิปปินส์ 11 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4), อินโดนิเซีย 1 ล้านเหรียญ และไทย 9 ล้านเหรียญ หรือราว 312 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ยังคงซื้อสุทธิราว 129 ล้านบาท (ซื้อติดต่อกันเป็นวันที่ 8)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯยังคงซื้อสุทธิราว 8.4 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 4.7 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 3)

SET Index ยังขาดแรงซื้อจาก นักลงทุนต่างชาติ และสถาบันฯ Upside จึงจำกัด
      การที่จะขับเคลื่อน SET Index ให้ปรับตัวขึ้นไประดับสูงได้ จำเป็นต้องอาศัยมูลค่าการซื้อขายที่มีนัยฯ เข้ามา โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนกลุ่มสถาบันในประเทศ ที่เป็น 2 กลุ่มหลักที่จะกำหนดทิศทางตลาด แต่ในระยะนี้ มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเบาบาง ซึ่งหากพิจารณากระแส Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติ จะเห็นได้ชัดว่ายังคงมีทิศทางที่ไม่ต่อเนื่อง มีการซื้อสลับขาย เหตุปัจจัยน่าจะมาจากหลายประเด็น เช่น Fed มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และการลดขนาดงบดุล ซึ่งจะเป็นการดึงเม็ดเงินที่ไหลเวียนอยู่ในภูมิภาคกลับสู่สหรัฐ รวมทั้งนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความเสี่ยงจากภัยก่อการร้าย และอาจจะทำให้นักลงทุนมีการปรับพอร์ต โยกเม็ดเงินจากสินทรัพย์เสี่ยงสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น และการแข็งค่าอย่างมากของเงินบาท อาจเป็นปัจจัยที่ขัดขวางไม่ให้กระแส Fund Flow ไหลเข้ามากนัก
ในส่วนของนักลงทุนสถาบันฯ ภายหลังจากที่มีการซื้อสะสมมาตั้งแต่ปลายปี 2555 ต่อเนื่องจนไปทำจุดสูงสุดเมื่อต้นปี 2559 แม้จะมีการขายออกมาเล็กน้อยเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว แต่ก็เห็นการซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกลับมาอีกครั้งจนปัจจุบันมีมูลค่าสะสมใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเมื่อต้นปี 2559 ดังนั้น จึงเชื่อว่าแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันฯ เริ่มมีจำกัด ขณะที่เม็ดเงินลงทุนใหม่ยังไม่เห็นเพิ่มเข้ามาเห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายกองทุนตราสารทุนในประเทศ ที่ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เม็ดเงินมีการ redeem มากกว่าการขายหน่วยลงทุนใหม่สะสมถึงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
โดยสรุป ภาวะที่ SET Index ยังขาดแรงหนุนจากนักลงทุน 2 กลุ่มหลัก ทำให้ตลาดฯ ยังคงแกว่งตัวในกรอบ upside ที่ค่อนข้างจำกัด

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!