WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

'เลือกซื้อตามค่าบวก'

  • หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
      ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปรับขึ้น 8.09 จุดปิดที่ 1557.73 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่วนกลุ่มอื่นๆ มีบวก/ลบคละกันไป สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.1 พันล้านบาท
      • สหรัฐ : ความเห็นเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดกลางเดือนมิ.ย.เริ่ม Mixed มากขึ้น ประธานเฟดสาขาต่างๆเริ่มเสียงแตก ส่งผลให้ค่าเงิน US$ อ่อนลง (Dollar Index ล่าสุดอยู่ที่ 96.9 ลดลงจากใกล้ 100 เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน)
      • ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นเพราะปัจจัยเฉพาะตัว ที่หนุนหลักๆ คือ การที่ทรัมป์เซ็นสัญญาขายอาวุธให้ซาอุฯ 1.1 แสนล้านUS$
      • ไทย : การประชุมกนง.พุธนี้คาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% และคงระดับนี้ไว้ถึงสิ้นปี 60 ส่วนการลดดอกเบี้ยของธ.พ.คาดว่าจะกระทบผลประกอบการปีนี้ไม่มาก โดยรวมคาดกำไรกลุ่มแบงค์โตจำกัดเพราะต้องระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ และตั้งสำรองสูงต่อเนื่อง
      •/+ กลุ่มค้าปลีก : บรรยากาศการซื้อขายยังซึมเนื่องจากหนี้สินภาคครัวเรือนสูง แต่มีบางบริษัทที่ยังเติบโตได้แข็งแกร่ง เพราะมีแผนกลยุทธ์ธุรกิจที่ดี มีการปรับตัวและปรับปรุงประสิทธิภาพต่อเนื่อง และมีฐานลูกค้าเป้าหมายชัดเจน หุ้นเด่น คือ BEAUTY, BIG, CPALL, COM7
      + MINT : ธุรกิจมีโมเมนตัมดีต่อในไตรมาส 2 ปีนี้ RevPar ของโรงแรมโตเป็นเลขสองหลัก ส่วน SSSG ของอาหารก็เป็นบวกจากฐานสูงในปีก่อน ธุรกิจ Time-share ฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสแรก ธุรกิจอสังหาฯเติบโตดี คาด Core Profit ปีนี้ +23% แนะนำซื้อ ให้ TP 46 บาท
      สำหรับหุ้นกลยุทธ์พื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น MINT
      การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่ยังเน้นตามด้วยค่าบวกเป็นสำคัญ แนวต้าน 1560-1570 ต่ำกว่า 1550 ดูไม่ค่อยดี มีสิทธิอ่อนมายังแนวรับ 1530+/-
      สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SEAFCO, KSL, STAR ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ BRR, TCAP, TWPC, ANAN, HTECH, MALEE, RS, WINNER หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ SPRC หุ้นหลุด List เป็น HTECH, IHL

ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
• จับตารายงานการประชุมประจำเดือนพ.ค.ของเฟดในวันพรุ่งนี้
  # เฟดจะเผยแพร่รายงานการประชุมรอบล่าสุดในวันที่ 24 พ.ค.60 ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในรายงานการประชุมดังกล่าว เฟดอาจจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 13-14 มิ.ย.60
  # ล่าสุดนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟดสาขาดัลลัส หนุนให้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย และเริ่มต้นลดวงเงินในงบดุลบัญชีของเฟดก่อนสิ้นปีนี้ เนื่องจากขณะนี้เฟดกำลังมีความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจทั้ง 2 ประการ ซึ่งได้แก่ เงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพ และการจ้างงานที่เต็มศักยภาพ แต่ก่อนหน้านี้ประธานเฟดเซนต์หลุยส์แนะให้ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยไว้ก่อนเพราะตัวเลขเศรษฐกิจเติบโตชะลอลงใน 2 เดือนที่ผ่านมา
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดบวกต่อ หนุนโดยหุ้นกลุ่มผลิตอาวุธและเทคโนโลยี
  # นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มผู้ผลิตอาวุธคึกคัก หลังทรัมป์ลงนามข้อตกลงขายอาวุธแก่ซาอุฯ มูลค่า 1.10 แสนล้านUS$ และจะขยายวงเงินเป็น 3.50 แสนล้านUS$ ภายใน 10 ปี รวมทั้งการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมันเพราะคาดการณ์ว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจะจับมือกันขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมวันที่ 25 พ.ค.นี้ช่วยหนุนด้วย
  # ปิดตลาดดัชนี DJIA อยู่ที่ 20,894.83 จุด เพิ่มขึ้น 89.99 จุด หรือ +0.43% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,394.02 จุด เพิ่มขึ้น 12.29 จุด หรือ +0.52% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,133.62 จุด เพิ่มขึ้น 49.92 จุด หรือ +0.82%
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นต่อ
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 50.73 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 53.87 ดอลลาร์/บาร์เรล หนุนโดยการคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปกอาจพิจารณาขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตออกไปอีก 6-9 เดือนจากข้อตกลงเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งกลุ่มฯจะประชุมกันวันที่ 25 พ.ค.60
+ สัญญาทองคำ : ปรับขึ้นดี
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 7.8 ดอลลาร์ หรือ 0.62% ปิดที่ระดับ 1,261.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เพราะค่าเงิน US$ ที่อ่อนลง และความเห็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเดือนมิ.ย.เริ่ม Mixed มากขึ้น

ปัจจัยในประเทศ และหุ้นเด่น
• ส่งออกเติบโตดีในช่วง 4M60 เนื่องจากราคาน้ำมัน & ผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น
  # กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกเดือนเม.ย.2560 อยู่ที่ 16.86 พันล้านUS$ (+8.5%YoY) นำเข้า 16.81 พันล้านUS$ (+13.4%YoY) ส่วน 4 เดือนแรกของปีนี้ส่งออกรวม 73.32 พันล้านUS$ (+5.7%YoY) โดยตลาดส่งออกส่วนใหญ่ดีขึ้น (ส่งออกไปสหรัฐ +3.5%YoY ไปญี่ปุ่น +3.3%YoY) ยกเว้นตะวันออกกลางที่หดตัวมากสุดในรอบ 8 เดือน และตลาดยุโรปที่กลับมาติดลบในรอบ 6 เดือน
  # มูลค่าส่งออกในกลุ่มสินค้าส่งออก 10 อันดับแรกของไทยช่วง 4 เดือนแรกของปี 2560 พบว่าสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเติบโตได้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน และมาจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับขึ้นเป็นสำคัญ เช่น ยางพารา (+68.1%YoY), ผลิตภัณฑ์ยาง (+60.1%YoY), เม็ดพลาสติก (+8.3%YoY), เคมีภัณฑ์ (+23.9%YoY) นอกจากนั้นมีสินค้าไฮเทค คือ แผงวงจรไฟฟ้า (+8.5%YoY) เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (+1.9%YoY) ที่เติบโตได้ แต่ส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วน อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ทองคำ ลดลง
  # โดยภาพรวมของการส่งออกไทยเห็นว่าดีขึ้น แต่ในแง่ของปริมาณส่งออกยังไม่ได้เติบโตแข็งแกร่งนัก การขยายตัวโดยหลักมาจากราคาที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน เราคิดว่าเป้าหมายอัตราการเติบโตของส่งออกที่ 5% ของรัฐบาลยังมีความท้าทายมาก เพราะส่งออกใน 8 เดือนที่เหลือต้องอยู่ในระดับสูงกว่า 19 พันล้านUS$/เดือนจึงจะบรรลุตัวเลขเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งไม่ง่ายเมื่อพิจารณาจากตัวเลขส่งออกเฉลี่ย 4 เดือนแรกของปีนี้ที่ 18.33 พันล้านUS$/เดือน
• ประชุมกนง. 24 พ.ค.นี้ คาดคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5%
  # คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมวันที่ 24 พ.ค.นี้ ซึ่งเราและตลาดคาดการณ์ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% และยืนอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับนี้ไปถึงสิ้นปี 2560
  # ส่วนที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ & เงินฝากเป็นรายธนาคารนั้น ขึ้นกับแผนกลยุทธ์ธุรกิจ และสภาพคล่องของแต่ละธนาคาร โดยบางธนาคารมีสภาพคล่องมากต้องการปล่อยสินเชื่อออกไป บางธนาคารต้องการลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกค้าเพื่อไม่ให้เป็น NPL เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าธุรกิจธนาคารปีนี้ยังเติบโตได้ไม่มาก เพราะการปล่อยสินเชื่อใหม่ยังต้องระมัดระวังสูง การตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงต่อเนื่อง และการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมไม่มาก ขณะที่มีค่าใช้จ่ายลงทุนในระบบดิจิตอลแบงค์กิ้งเข้ามาด้วย
- กลุ่มค้าปลีก : สมาคมผู้ค้าปลีกไทยระบุบรรยากาศซื้อขายซึม
  # แม้ดัชนีอุตสาหกรรมค้าปลีกไตรมาส 1/60 จะ +3.02%YoY (หนุนโดยตลาดรถยนต์และจักรยานยนต์ที่กลับมา +15% และ +5% ตามลำดับ) แต่บรรยากาศการซื้อขายโดยรวมยังซึม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูง
  # เมื่อพิจารณาแยกตามรายกลุ่มสินค้าช่วงไตรมาส 1/60 พบว่ายอดขายสินค้าคงทน+1.25%YoY โดยสินค้าก่อสร้างและที่อยู่อาศัยติดลบ แต่สินค้าอิเลคทรอนิกส์ +3% ด้านยอดขายสินค้ากึ่งคงทน +2.3%YoY ซึ่งไม่ได้สูงมาก ด้านสินค้าไม่คงทน +3.4%YoY แต่ก็มีสัญญาณเติบโตช้าลงในงวดไตรมาส 2/60
  # กลุยทธ์ลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก : เลือกซื้อเป็นรายบริษัท (Selective Play) โดยหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ของ DBSV เป็น BEAUTY (ราคาพื้นฐาน 14 บาท), BIG (ราคาพื้นฐาน 6.10 บาท), COM7 (ราคาพื้นฐาน 13.50 บาท), CPALL (ราคาพื้นฐาน 75 บาท) เนื่องจากมีแผนกลยุทธ์ธุรกิจที่ดี ปรับตัวได้เร็ว ปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ใหญ่ที่ชัดเจนและใหญ่พอสมควร

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!