- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 18 May 2017 17:46
- Hits: 1061
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงที่เหลือของเดือน พ.ค. คาดว่า SET ยังพักฐานแต่มีกรอบการลดลงจำกัด หลังสะท้อนผลประกอบการงวด 1Q60 การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และการลดดอกเบี้ยของธนาคารแบบสายฟ้าแลบ ภาวะนี้ยังแนะนำให้สะสมหุ้น 40% ในหุ้นพื้นฐานที่มีค่า PER ต่ำ และเงินปันผลสูง Top picks ยังชอบ THANI(FV@B 6.60) ที่เข้าคำนวณ MSCI Global Small Cap และ AIT(FV@B 31.50) ซึ่งมีโอกาสได้งานเพิ่มจากประมูลงานลงทุนอินเตอร์เนตหมู่บ้านของ กสทช.
กสทช. เดินหน้าลงทุนอินเตอร์เนตหมู่บ้าน บวกต่อ AIT
หลังจากที่รัฐเดินหน้าลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานสำคัญๆ เช่น รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสีต่างๆ ในกรุงเทพและปริมณฑล และรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ยังมุ่งพัฒนาการเชื่อมต่อระบบสื่อสารไปยังต่างจังหวัด ผ่านโครงการติดตั้งอินเตอร์เนตให้กับหมู่บ้านที่ยังไม่มีโครงข่ายจำนวน 4.5 หมื่นแห่ง (จากจำนวนหมู่บ้านในประเทศไทย 7.5 หมื่นแห่ง) โดยแบ่งให้หน่วยงานภาครัฐไปลงทุน 2 ส่วนคือ
ส่วนแรก 2.5 หมื่นแห่ง มูลค่าราว 1.5 หมื่นล้านบาท ให้เป็นความรับผิดชอบของ TOT ซึ่งได้มีการเปิดประมูลและได้ผู้ชนะประมูลไปแล้ว 3 รายคือ AIT (ได้งานมูลค่า 800 ล้านบาท) ILINK และ FORTH (SAMTEL แม้เป็นรายใหญ่สุด แต่ไม่ได้มุ่งมารับงานในส่วนนี้ เพราะมีอัตรากำไรต่ำกว่างานของลูกค้าเก่าที่กำลังจะกลับมาลงทุนจำนวนมาก อาทิ กรมที่ดิน AOT)
และส่วนที่ 2 จำนวน 2.0 หมื่นแห่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ชนบท (ราว 1.6 หมื่นแห่ง บวกกับชายขอบประเทศ 4.0 พันแห่ง) คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนราว 2 หมื่นล้านบาท เป็นความรับผิดชอบลงทุนโดย กสทช. ซึ่งขณะนี้ความคืบหน้ามากขึ้น คือ กสทช.ได้นำ TOR ในส่วนหมู่บ้านชายขอบจำนวนราว 4.0 พันแห่งขึ้นเวบไซด์สำนักงาน กสทช. เพื่อรับฟังความคิดเห็นเป็นระยะเวลา 10 วัน สิ้นสุด 28 พ.ค. 60 และจะมีการออกประกวดราคาภายในเดือน มิ.ย. 60 และน่าจะ เริ่มติดตั้ง ธ.ค. 60 แล้วเสร็จ ก.ค. 61 เฉพาะส่วนแรกนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่างานดังกล่าวน่าจะอยู่ราว 3.0-4.0 พันล้านบาท และส่วนที่เหลืออีก 1.6 หมื่นแห่ง น่าจะทำ TOR ตามมาภายหลัง (มูลค่าจะอยู่ 1.6 หมื่นล้านบาท)
ภาพรวมถือว่าปริมาณงานในระบบที่ออกมามากขึ้น ส่งผลบวกโดยตรงต่อผู้รับเหมาวางระบบโทรคมนาคมที่มีภาครัฐฯเป็นฐานลูกค้าหลัก อาทิ AIT และ SAMTEL โดยน่าจะเข้ามาต่อยอด Backlog ที่แต่ละรายมี ทั้งนี้ หากตั้งสมมติฐานว่า SAMTEL ยังคงมุ่งเน้นรับงานลูกค้าเดิมเป็นหลัก อาจจะได้ประโยชน์การแข่งขันตัดราคาน่าจะน้อยลงกว่าช่วงที่มีงานในระบบน้อย ดังนั้น ผู้ที่จะได้ประโยชน์จริงๆ คือ AIT ช่วยต่อยอดการเติบโตปีหน้าให้กำไรเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ที่คาดว่ากำไรจะเติบโต 31.7% กล่าวคือ ปัจจุบัน AIT มี Backog ณ วันที่ 15 พ.ค. ที่มีอยู่ราว 3.0 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากสิ้นงวด 1Q60 ที่มี 2.3 พันล้านบาท และได้รวมงานอินเตอร์เนตหมู่บ้านที่ลงทุนโดย TOT แล้ว) ซึ่งส่วนใหญ่เกิน 80% น่าจะรับรู้ภายในปีนี้ และเชื่อว่าจะได้งาน กสทช. เข้ามาราว 1.0-2.0 พันล้านบาท (ภายใต้สมมติฐานอิงข้อมูลส่วนแบ่งตลาด AIT มีอยู่ไม่ต่ำกว่า 10%) สร้างความมั่นคงต่อการรับรู้รายได้ในปี 2561 ประกอบกับ Valuation ที่ราคาปัจจุบันยังน่าจูงใจ คือ มี PER’60 ต่ำมากที่ 9.9 เท่า Div Yield สูงเกิน 6% และยังมี Upside 15.5% คงยืนยันคำแนะนำ ซื้อ
ราคาน้ำมันทรงตัว แม้สต๊อกลดน้อยกว่าคาดแต่ยังหวังจำกัดผลผลิตต่อ
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบโลกฟื้นตัวขึ้นมากว่า 12% จากจุดต่ำสุด หลังซาอุดิอาระเบียและรัสเซียมีท่าทีสนับสนุนการขยายระยะเวลาการลดกำลังผลิตน้ำมันดิบลง จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในเดือน มิ.ย. 60 น่าจะขยายระยะเวลาออกไป จนถึง มี.ค. 61 เพื่อให้อุปทานน้ำมันดิบส่วนเกินในตลาดกลับสู่สภาวะสมดุล และรักษาราคาน้ำมันดิบไม่ให้ตกต่ำลง โดยคาดหวังว่าประเทศอื่นๆน่าจะลดกำลังการผลิตลงเช่นกัน นอกจากนี้ Dollar Index ที่อ่อนค่าลงกว่า 2.1% ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนล่าสุดอยู่ที่ 97.34 จุด ยังเป็นอีกแรงหนุนให้ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนวานนี้สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.84% มาอยู่ที่ 49.07 เหรียญฯต่อบาร์เรล หลังสำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ สิ้นสุด ณ 10 พ.ค. 60 ลดลงอีก 1.753 ล้านบาร์เรล แม้จะลดลงน้อยกว่าที่ตลาดฯคาดเล็กน้อย (ตลาดฯคาดว่าจะลดลง 2.360 ล้านบาร์เรล) แต่ยังคงลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5
หลังจากนี้ตลาดน่าจะให้น้ำหนักต่อผลการประชุมกลุ่ม OPEC ในวันที่ 25 พ.ค. จะสนับสนุนการยืดเวลาการจำกัดการผลิตต่อไปอีกหรือไม่ หลังจากที่ครบกำหนด มิ.ย. 60 ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อสะสม PTTEP(FV@B116) และ PTT (FV@B460) เมื่อราคาอ่อนตัวลง
ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค
วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคติดต่อเป็นวันที่ 2 ด้วยมูลค่า 121 ล้านเหรียญ โดยเป็นการซื้อทุกประเทศ ยกเว้นเพียงตลาดหุ้นอินโดนิเซียที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 15 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) โดยตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 แห่งซื้อสุทธิดังนี้ เกาหลีใต้ 58 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2), ไต้หวัน 31 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8), ฟิลิปปินส์ 10 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) และไทยวานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิราว 36 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1.2 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 2 วัน) เช่นเดียวกับสถาบันฯในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 637 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) โดยภาพรวมเดือน พ.ค ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยน้อยสุด ตามหลังฟิลิปปินส์
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิราว 1.7 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 6.5 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
SET ปรับฐานในครึ่งแรกของ พ.ค. แต่มี downside จำกัดช่วงที่เหลือ
ตลาดหุ้นไทยได้ปรับฐานนับจากกลางเดือน เม.ย. เป็นต้นมา กว่า 2.1% แต่หากนับเฉพาะในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือน พ.ค. พบว่า ลดลงมากถึง 1.8% แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเหตุผลที่เกิดอย่างนี้ เราได้เคยนำเสนอไปใน Market Talk วันที่ 3 พ.ค. ไปถึงแนวโน้ม SET Index ในเดือน พ.ค. จะเกิดเหตุการณ์ “Sell in May” ซึ่งซ้ำรอยในอดีต ทั้งนี้จากสถิติย้อนหลัง 5 ปี บ่งชี้ว่า เดือน พ.ค. เป็นเดือนที่ SET Index มักจะปรับตัวลดลงมากที่สุดของปี โดยลดลงเฉลี่ยถึง 1.97% และปรับตัวลดลง 3 ใน 5 ปี โดยมีปัจจัยกดดันหลัก ๆ 3 ประการคือ
เดือน พ.ค. เป็นช่วงประกาศงบบริษัทจดทะเบียนงวด 1Q60ดังได้สรุปรายกลุ่มไปใน Market Talk วานนี้ และนี่เป็นเหตุผลทำให้มีการขายทำกำไรในรายหุ้นที่ได้มีการเข้าลงทุนไว้ก่อนหน้านี้
หลังประกาศงบมักตามมาด้วย การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ จะทยอยประกาศจ่ายเงินปันผล พร้อมกับ เครื่องหมาย XD ซึ่งจะตกในช่วงเดือน เม.ย. – พ.ค. 2560 จึงเป็นอีกเหตุผลทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงหลัง XD
จากสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ต่างชาติขายสุทธิเฉลี่ยหุ้นไทยในเดือนนี้สูงถึง 9.55 พันล้านบาท และเป็นการขายสุทธิถึง 4 ใน 5 ปี ในภาวะการณ์ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐผิดหวังต่อการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ของทรัมป์ ฯ ที่จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาฯ สหรัฐ พร้อมกับคะแนนนิยมของนายทรัมป์ฯ ลดน้อยลง
และหากพิจารณาดัชนีราย กลุ่มฯ ที่ปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งแรกของเดือน พ.ค. พบว่ากระจายไปทุกกลุ่มทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ดังปรากฏในภาพ โดยหุ้น Market Cap ใหญ่ อย่าง ธ.พ. ยังได้รับ ผลกระทบซ้ำจากการที่รัฐขอให้ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย (MRR) แต่คาดว่ากระทบต่อประมาณการกำไรฯ ปีนี้ราว 2.5% เท่านั้น
แนวโน้มตลาดในช่วงครึ่งหลังของเดือน พ.ค. น่าจะยังมีอิทธิพลจาก 3 ปัจจัยดังกล่าว ซึ่งทำให้ยังอยู่ในลักษณะซึมต่อ แต่ก็ไม่มากนัก สอดคล้องกับสถิติในอดีตย้อนหลัง 5 ปี ที่ SET Index มักปรับลง 3 ใน 5 ปี เฉลี่ยราว 0.5% โดยกลุ่มที่ underperform กว่าตลาดฯ ในช่วงครึ่งแรกของเดือน จะกลับมา outperform ได้ดีกว่าในช่วงครึ่งเดือนหลัง เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มยานยนต์ กลุ่มโรงพยาบาล เป็นต้น
และหากมองข้ามไปในเดือน มิ.ย. เชื่อว่า SET Index น่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากที่ปรับฐานมาระยะหนึ่งหนึ่ง สอดคล้องกับจากสถิติย้อนหลัง 5 ปี SET มักปรับตัวขึ้น 4 จาก 5 ปี เฉลี่ยราว 0.5% โดยกลุ่มฯ ที่มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดฯ คือ กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มยานยนต์
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636