- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 08 May 2017 18:08
- Hits: 4747
บล.ทิสโก้ : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปรับผลประกอบเพิ่มขึ้น มูลค่าที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นเป็น 6.20 บาท
จากสิทธิประโยชน์การประหยัดทางภาษีจากเงินลงทุนในสินทรัพย์ของบริษัท (ที่เป็นสัญญาเช่าซื้อเป็นเงินสด) ในปี 2016-17 ที่คาดว่าจะสามารถนำค่าเสื่อมราคาและเงินลงทุนที่จ่ายจริงมาประหยัดภาษีได้นั้น เราคาดว่า ASAP จะได้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีนับจากการจ่ายเป็นเงินสดจริงตั้งแต่ พ.ย. 15 จนถึงสิ้นปี 2016 เราปรับประมาณการปี 2017-19F เพิ่มเพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าว แนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 6.20 บาท
คาดผลประกอบการ 1Q17F ที่ 24 ล้านบาท (+32% YoY, +65% QoQ)
เราคาดรายได้ 1Q17F เพิ่มขึ้น 83% YoY และ 28% QoQ เป็น 533 ล้านบาท ซึ่งคิดจากการคาดการณ์สัดส่วนรายได้จากธุรกิจการให้เช่ารถยนต์ และรายได้จากการขายรถมือสอง ที่ประมาณ 70:30 โดยเราคาดว่าในช่วง 1Q17 จะสามารถขายรถมือสองได้ประมาณ 250 คัน และคาดอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 21% เทียบกับ 22.3% YoY และ 22.4% QoQ ซึ่งเกิดจากรายได้จากการให้เช่ารถระยะสั้นจะยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน เราคาดว่า SG&A ต่อยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.2% เทียบกับ 5% YoY เนื่องจากค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับ IPO แต่น่าจะทรงๆ QoQ เราคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 24 ล้านบาทสำหรับ 1Q17F เพิ่มขึ้น 32% YoY และ 65% QoQ เรายังไม่รวมผลประโยชน์ทางภาษีเข้าไปในประมาณการใน 1Q17F
ปรับประมาณการปี 2017-19F เพิ่มขึ้น 29%, 19% และ 22% ตามลำดับ
เรายังคงรายได้สำหรับปี 2017-19F แต่ปรับผลประกอบการเพิ่มขึ้นเป็น 122 ล้านบาท, 144 ล้านบาท และ 191 ล้านบาทตามลำดับ จากการปรับลดอัตราภาษีลงเป็น 12%, 14% , 16% จากเดิม 20% สำหรับปี 2017-19F ทั้งนี้เรายังไม่ได้รวมรายได้จากโครงการ Asap Auto Park บางนา – ตราด (กม. 12-13) ที่คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ใน 1Q18F เป็นต้นไป
มูลค่าที่เหมาะสมใหม่ 6.20 บาทอ้าง PER ที่ 31 เท่าสำหรับปี 2017F
มูลค่าที่เหมาะสมอ้างอิง PER 31 เท่าสำหรับปี 2017F คิดจาก PEG 1 เท่าของกลุ่มไฟแนนซ์และ discount มา20% อยู่ที่ PEG 0.8 เท่า และการคาดการณ์ CAGR 4 ปี (2017-21F) ของกำไรสุทธิอยู่ที่ 38.2% โดยมีความเสี่ยงคือ 1) การประมาณการราคาขายของรถยนต์ที่ครบอายุสัญญาเช่า 2) การไม่สามารถขายรถยนต์ที่หมดอายุสัญญาเช่าหรือขายได้ช้า และ 3)การพึ่งพิงผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่
•BCPG : ผลประกอบการตามคาด โรงไฟฟ้าความร้อนเป็นปัจจัยบวก
ประเด็นสำคัญจากผลประกอบการ
• รายงานผลประกอบการ 454 ล้านบาท คิดเป็น 23% จากประมาณการทั้งปี
• หากไม่รวมรายการพิเศษ 61 ล้านบาท จากการขายโครงการที่ญี่ปุ่น กำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 396 ล้านบาท ลดลง 6% YoY เนื่องจากค่าไฟที่ลดลง และ SG&A ที่เพิ่มขึ้น
• รายได้เพิ่มขึ้น 2% YoY และ QoQ หนุนโดยโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ (12 MW) และโครงการที่ญี่ปุ่น (10.5 MW) ที่เริ่ม COD ในเดือน มี.ค. เป็นไปตามที่บริษัทคาด
• อัตรากำไรเพิ่มขึ้น QoQ จาก 69.6% เป็น 72.3% ใน 1Q17
• SG&A ต่อยอดขายเพิ่มขึ้น 12.4% เป็น 14.8% QoQ (ได้ประโยชน์จากความประหยัดต่อขนาดนับจากปี 2018F เป็นต้นไป)
ความเห็นของเรา :
• หลังจากที่คดีโรงไฟฟ้า Suimei (โครงการ 8) ได้ข้อสรุป ทำให้ BCPG สามารถขายโครงการ (กำลังการผลิต 43.6 MW) ได้ในช่วง 1Q17 คิดเป็นกำไร 61 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มการ COD ได้ในปี 2019-20 (แต่มีความเสี่ยงที่จะล่าช้า) และยังอยู่ในช่วงแรกของการพัฒนา เรามองว่า BCPG สามารถนำเงินที่ได้ไปพัฒนาโครงการอื่นที่มีความสามารถทำกำไรได้มากกว่า และพร้อม COD ได้เร็วกว่า
• ณ ช่วงสิ้น 1Q17 กำลังการผลิตที่เซ็นสัญญาแล้วเพิ่มขึ้น 24.3% YoY เป็น 160 MW (ในไทย 130 MW, และที่ญี่ปุ่น 30 MW) ในด้านรายได้ของ BCPG โครงการที่ญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10.2%
• เราคาดส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของโครงการลมที่ฟิลิปปินส์ในปี 2017F (กำลังการผลิตตามส่วนของทุน 14.4 MW เริ่มรับรู้ใน 2Q17 เป็นต้นไป)
• BCPG ได้ประกาศแผนในการซื้อหุ้น 1 ใน 3 ของ Star Energy Group Holdings (SEGHPL) ซึ่งมีโรงไฟฟ้าความร้อน 3 แห่งกำลังการผลิตรวม 158 MW (ตามส่วนของทุน) ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการในปี 2017 เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 18% เป็น 2.3 พันล้านบาท ทำให้ผลประกอบการจะโต 47% YoY (หากรับรู้รายได้เต็มปี และหักค่าที่ปรึกษาทางการเงิน)
• เรายังอยู่ในช่วงการปรับประมาณการ มูลค่าที่เหมาะสม 14.2 บาท เนื่องจาก 1) รอความชัดเจนของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน 2) การปรับประมาณการหลังการขายโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น และ 3) ต้นทุนการ EPC และแผนการ COD ที่ญี่ปุ่น
มูลค่าที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการฟื้นตัวใน 4 ไตรมาสข้างหน้า
BH รายใหญ่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทางการแพทย์ได้ประโยชน์จากการที่ UAE ได้ประกาศยกเลิกการร่วมจ่ายของผู้ป่วย (UAE คิดเป็นผู้ป่วยต่างชาติรายใหญ่อันดับที่ 2) หลังจากที่มีการปรับลดค่าใช้จ่ายในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้เราคาดว่าผลประกอบการจะเพิ่มขึ้นในช่วง 3Q17 เป็นต้นไป เราแนะนำให้ “ซื้อ”
ประโยชน์ของ Thiqa กลับมาเต็มที่
เราได้ทำการเช็คโรงพยาบาลระดับนานาชาติที่ได้จดหมายจากบริษัทประกันในอาบูดาบียืนยันว่า Thiqa ได้ปรับการร่วมจ่ายลงจาก 50% เหลือเพียง 10% แล้วสำหรับผู้ป่วยชาว UAE ที่จำเป็นต้องมีการรักษาในต่างประเทศ (มีการปรับเพิ่มใน มิ.ย. 16) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาปัจจัยนี้เป็นปัจจัยหลักที่รายได้ของ BH ลดลง
คาดกระทบรายได้ราว 4%
เราคาดว่าการยกเลิกการร่วมจ่ายจะทำให้รายได้และผลประกอบการของ BH เพิ่มขึ้นในช่วง 3Q17 เป็นต้นไป (เทศกาลรอมฏอนในช่วง 2Q17) ลูกค้าจาก UAE คิดเป็นสัดส่วน 7% ของรายได้ ทำให้เราคาดว่ารายได้และผลประกอบการจะโตในระดับ 1-2 หลักนับจากช่วง 3Q17
มูลค่าที่เหมาะสม 210 บาท
ผลประกอบการ 3Q17 จะเป็นปัจจัยที่หนุนราคาหุ้นหลังจากที่ราคาลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเรามองว่าตลาดจะมองไปที่ช่วงการฟื้นตัวใน 2H17 เป็นหลัก (1H17 โดนผลกระทบของรอมฏอน) จากการลดการร่วมจ่ายลง โดยเราปรับมูลค่าที่เหมาะสมของ BH เป็น 210 บาท จากเดิม 200 บาท อิง EV/EBITDA ที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยที่ 22 เท่าจากการฟื้นตัว ความเสี่ยงในเชิงลบคือ 1) การแข่งขันของโรงพยาบาลภายในและภายนอกประเทศ 2) การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ลดลง
มีมุมมองในเชิงบวกต่อการส่งออกและส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น
TASCO รายงานผลประกอบการ 1Q17 มีรายได้เพิ่มขึ้นตามราคาของยางมะตอย แต่อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการออกมาต่ำกว่าที่เราคาดจากยอดขายที่ต่ำกว่าคาด (-10% YoY) โดยเราคาดว่าผลประกอบการ 2Q17 จะยังเติบโตดี แม้จะลดลง QoQ เนื่องจากสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงรับรู้ไปแล้ว เราแนะนำให้ “ซื้อ” เนื่องมาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น, การส่งออกและอัตรากำไรที่ฟื้นตัว
ราคาขายที่เพิ่มขึ้นดันผลประกอบการ 1Q17
TASCO รายงานผลประกอบการ 1Q17 ที่ 1.23 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% YoY และ 36.5% QoQ หากไม่รวมผลของอัตราแลกเปลี่ยนและการบันทึกกลับหนี้เสีย ทำให้กำไรปกติอยู่ที่ 1.08 พันล้านบาท ลดลง 2% YoY แต่เพิ่มขึ้น 18.9% QoQ โดยผลประกอบการลดลง YoY จากยอดขายที่ลดลง 10.4% ด้านผลประกอบการเพิ่มขึ้น QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 16.9% ตามราคาขายที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นของ TASCO ลดลงจาก 24.9% ใน 1Q16 และ 22.6% ในช่วง 4Q16 เป็น 18.8% เนื่องจากต้นทุนของยางมะตอยที่เพิ่มขึ้น
ผลประกอบการ 2Q17 ดีขึ้นแม้จะลดลง QoQ
ราคาของยางมะตอยลดลง 10% MoM ในเดือน เม.ย. ทำให้เราคาดว่าผลประกอบการของ TASCO ในช่วง 2Q17 จะลดลง QoQ โดยอ้างอิงจากปริมาณการสั่งซื้อที่สูงและคำสั่งซื้อที่มีอัตรากำไรสูง (มีการส่ง bitumen mixture ที่มีอัตรากำไรสูง) และสัดส่วนการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงจะช่วยหนุนอัตรากำไรของ TASCO ให้อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ
เราแนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 31 บาท
เราคาดผลประกอบการปี 2017 เพิ่มขึ้น 28% YoY จากการส่งออกและอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 31 บาท อ้างอิง PER 12 สำหรับปี 2017F จาก PER เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี +1std คิดเป็นอัพไซด์จากราคาหุ้นที่ 23% จากราคาปัจจุบัน เราแนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีความเสี่ยงคือ 1) อุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศที่ลดลง 2) ราคาน้ำมันดิบที่ผันผวน 3) อุปทานของยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นในภูมิภาค
Market Insight E- mail :[email protected]