- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 14 August 2014 17:30
- Hits: 2331
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อตามค่าบวกหรืออ่อนแต่ไม่หลุด 1530”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : HEMRAJ (จากถือเป็น ซื้อ), SORKON (จากซื้อเป็น Fully Valued)
ภาพตลาดวันก่อน : บวกแรง เมื่อวานนี้ SET Index พุ่งขึ้นแรง โดยขึ้นไปสูงสุด 1546.32 (+26 จุด) โดยมีแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มหลัก เช่นแบงค์ใหญ่, พลังงาน, เดินเรือ, รับเหมาก่อสร้าง, ปูนซีเมนต์, สื่อสาร เป็นต้น ปัจจัยหนุน คือ แนวโน้มเศรษฐกิจและธุรกิจที่จะฟื้นตัวดีขึ้นใน 2H57 และเติบโตเร่งตัวขึ้นในปี 58 ขณะที่ความเสี่ยงภายนอกยังไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศซื้อสุทธิเพิ่มเป็น 3.7พันล้านบาท และ 2.6 พันล้านบาท ตามลำดับ พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 632 ล้านบาท ส่วนรายย่อยเป็นกลุ่มที่ขายสุทธิราว 7 พันล้านบาท
ปัจจัยและกลยุทธ์ : ความกังวลเรื่องเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วผ่อนคลายลง หลังจากที่ตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนก.ค.57 ของสหรัฐออกมาทรงตัวและภาคที่อยู่อาศัยฟื้นตัวอย่างเปราะบาง ผลประกอบการไตรมาส 2/57 ของบริษัทจดทะเบียนไทยอยู่ในเกณฑ์ดี (เท่าที่รวบรวมได้ถึงเย็นวันที่ 13ส.ค.57 พบว่ากำไรสุทธิเติบโตได้ 2%QoQ และ 5%YoY) แนวโน้มครึ่งหลังคาดว่าจะเติบโตดีขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยว & โรงแรม หุ้นเด่นในกลุ่มพาณิชย์ คือ BIGC ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่มท่องเที่ยว & โรงแรมเป็น AOT, MINT และ CENTEL ปัจจัยที่จับตา คือสถานการณ์การเมืองในต่างประเทศ และความคืบหน้าในการตั้งสนช. & สปช. และคณะรัฐมนตรี รวมถึงการเดินหน้าโครงการต่างๆ ของภาครัฐ &โครงการขนาดใหญ่ภาคเอกชน ซึ่งคาดว่าจะเห็นความคืบหน้ามากขึ้นในช่วงไตรมาส 4/57 และเริ่มมีการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมในปี 58กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือต่ำกว่า 1530 จุดดูไม่ดี โดยมีสิทธิอ่อนตัวไปที่ 1500, 1480 จุด นักลงทุนที่มีหุ้นเยอะและมีเงินสดเหลือน้อยควรลดพอร์ตตาม ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1550-1560 จุด หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น QH
Fundamental Pick
QH แนะนำซื้อราคาปิด 4.14 บาท เป้าหมาย 5.20 บาท
* บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 2Q57 ออกมาสอดคล้องกับที่เราคาดแต่สูงกว่าที่ตลาดฯประมาณการไว้ โดยกำไรลดลง 12% y-o-y แต่เพิ่มขึ้น 55% q-o-q เป็น 979 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1H57 เป็น1.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 54% เทียบกับประมาณการปีนี้
* แนวโน้มเป็นบวก โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q57 จะเพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและมีการโอนเป็นรายได้เข้ามามาก
* คงคำแนะนำซื้อ และปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 5.20 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี sum of partsทั้งนี้จุดเด่นของ QH คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัวได้ดีและรวดเร็ว, การมีรายได้ที่แน่นอนทำให้มีความมั่นคง และมีเงินลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูง
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+ จีน : ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมก.ค.57เติบโตต่อเนื่อง
* สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) รายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเดือนก.ค.ขยายตัว 9%YoY ชะลอลงจาก 9.2% ในเดือนมิ.ย. แต่เพิ่มขึ้น 0.68%MoM ส่วน 7M57 เติบโต8.8%YoY
• สหรัฐ : ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ทรงตั * กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกสหรัฐทรงตัวในเดือนก.ค.หลังจากขยายตัว 0.2%ในเดือนมิ.ย. แต่ถ้าไม่นับรวมยอดขายรถยนต์ ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ขยับขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน
* ข้อมูลค้าปลีกที่อ่อนแอของสหรัฐทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้
• อิรัก : สหรัฐกำลังพิจารณาส่งที่ปรึกษาทางการทหารเข้าไปในอิรักเพิ่มเติม
* สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า สหรัฐกำลังพิจารณาเรื่องการส่งที่ปรึกษาทางการทหารจำนวนเพิ่มเติมมากกว่า 100 คน เข้าไปในอิรักเพื่อช่วยหาทางบรรเทาความยากลำบากของพลเมืองในท้องถิ่น ซึ่งถูกกลุ่มหัวรุนแรงของรัฐอิสลามอิรักและเลแวนต์ (ISIL) ปิดล้อมบนเทือกเขาทางเหนือของอิรัก
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นต่อหลังความกังวลเรื่องเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วผ่อนคลายลง
* ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,651.80 จุด เพิ่มขึ้น 91.26 จุด หรือ +0.55% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,434.13 จุด เพิ่มขึ้น 44.88 จุด หรือ +1.02% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,946.72จุด เพิ่มขึ้น 12.97 จุด หรือ +0.67%...ยอดค้าปลีกที่ทรงตัวในเดือนก.ค. ทำให้ความกังวลว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วผ่อนคลายลง
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นเพราะวิตกสถานการณ์การเมืองในต่างประเทศ
* สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ ปิดที่ 97.59 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอน พุ่งขึ้น 1.26 ดอลลาร์ปิดที่ 104.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบ คือ สถานการณ์ความไม่สงบในต่างประเทศ ซึ่งกลบรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 ส.ค. ที่เพิ่มขึ้น1.4 ล้านบาร์เรล แตะ 367 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล
+ สัญญาทองคำ COMEX : ขยับขึ้นต่อ
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 3.9ดอลลาร์ หรือ 0.30% ปิดที่ 1,314.5 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ
+ กำไรสุทธิ 2Q57 ของบจ.ทยอยออกมาและที่ออกมาแล้วถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
* บริษัทจดทะเบียนทยอยรายงานผลประกอบการออกมา ล่าสุดถึงเย็นวานนี้ (13 ส.ค.) พบว่ากำไรสุทธิ 2Q57 ขยายตัวได้ 2%QoQ และ 5%YoY นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะเศรษฐกิจไตรมาส 2 ยังซบเซา โดยเฉพาะภายในประเทศที่ยังมีโมเมนตัมลบต่อเนื่องมาจากไตรมาสแรก
* คาดว่าผลประกอบการครึ่งหลังของปีนี้จะดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยว
* เราคาดการณ์กำไรสุทธิบจ.ปีนี้เติบโต 9% และปีหน้า 12% (อาจมีการเปลี่ยนแปลงหลังจบรายงานผลประกอบการ 2Q57 แล้ว)
* SET Index เป้าหมายสิ้นปี 57 อยู่ที่ 1559 จุด และสิ้นปี 58 เท่ากับ 1627 จุด ซึ่งในขณะนี้ดัชนีกำลังทดสอบเป้าหมายของปีนี้ และมีโอกาสขยับขึ้นไปสู่เป้าหมายใน 12 เดือนข้างหน้าหากไม่มีปัจจัยลบใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามา โดยปัจจัยหนุนหลัก คือ การฟื้นตัวและการเติบโตที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียน
+ ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเดือนพ.ค.-ก.ค.57กระเตื้องขึ้น สะท้อนภาพรวมที่เศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว
* นายสุนชัย คำนูนเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่าภาพรวมการใช้ไฟฟ้าช่วง 7M57 ลดลงเล็กน้อย YoY เนื่องจากช่วงต้นปีการใช้ไฟฟ้าชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง และมีสถิติติดลบสูงสุด 5% แต่เมื่อเข้าสู่เดือนพ.ค.-ก.ค.57 พบว่าการใช้ไฟฟ้าเติบโตขึ้นเล็กน้อยประมาณ 2%YoY ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีการใช้ไฟฟ้าจะเติบโตเฉลี่ยไม่เกิน 2%YoY
* ส่วนแนวโน้มราคาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนก.ย.-ธ.ค.57 ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง เนื่องจากต้องรอติดตามราคาเชื้อเพลิงในช่วง 6 เดือนก่อนที่จะมีการปรับเอฟที ซึ่งองค์ประกอบจะมาจากราคาเชื้อเพลิงทั้งน้ำมันและก๊าซในตลาดโลกที่ไทยนำเข้ามาผลิตไฟฟ้า ค่าเงินบาท และราคาน้ำมันที่มีความผันผวนสูง
+ ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือนมิ.ย.57 เพิ่มขึ้น...นำโดยความเชื่อมั่นภาคค้าส่ง
* แหล่งข่าวจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ (ทีเอสเอสไอ) ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในเดือนมิ.ย.57 พบว่าอยู่ที่ 46.1 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 39.5 ส่วนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจประเทศอยู่ที่ 44.7 เพิ่มจากเดือนก่อนอยู่ที่ 15.7 ด้านความเชื่อมั่นต่อธุรกิจตนอยู่ที่ 45.8 จากเดือนก่อนอยู่ที่ 28.6 โดยผู้ประกอบการภาคการค้าส่งมีความมั่นใจสูงสุด ค่าดัชนีอยู่ที่ 46.7 รองลงมาเป็นภาคค้าปลีก ค่าดัชนีอยู่ที่ 46.5 และภาคบริการ ค่าดัชนีอยู่ที่ 45.3
* ความเห็น Retail Research DBS : ผลประกอบการของกลุ่มพาณิชย์ใน 2Q57 ซบเซาเนื่องจากถูกกระทบจากปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจต่อเนื่องมาจากไตรมาสแรก แต่ใน 3Q57เริ่มกระเตื้องขึ้นเมื่อการเมืองนิ่งและความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัว และคาดว่าจะเติบโตได้ดีมากขึ้นอีกช่วง 4Q57 ซึ่งเป็น High season ของการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยว เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับธุรกิจพาณิชย์ ท่องเที่ยวและโรงแรมในเรื่องของการเติบโตที่จะดีขึ้นในอนาคต หุ้นเด่นกลุ่มพาณิชย์ คือ BIGC ส่วนหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว & โรงแรมเป็น AOT, MINT, CENTEL
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]