- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 04 May 2017 17:33
- Hits: 11158
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1560'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BH (จาก Fully Valued เป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปิดทรงตัวที่ 1564.12 โดยมีการเลือกซื้อ/ขายเป็นรายบริษัทกระจายไปในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยไม่ได้มีกลุ่มไหนที่ปรับขึ้นหรือลงอย่างเด่นชัด สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ ส่วนต่างชาติขายสุทธิ
• สหรัฐ : ที่ประชุมเฟดมีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยไว้ที่ 1% ตามคาด และเจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งๆละ 0.25% ในปีนี้
• ปัจจัยจับตา : 1) ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐประจำเดือนเม.ย. , 2) ผลเลือกตั้งรอบที่ 2 ของฝรั่งเศสวันที่ 7 พ.ค.นี้ ซึ่งโพลล์ระบุว่านายมาครองมีคะแนนนิยมสูงกว่าและน่าจะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ และ 3) รายงานกำไร 1Q60 บจ.ไทย ซึ่งจะออกมาถึงกลางพ.ค.นี้
• CPALL : เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดย SSSG ใน 1Q60 กลับมา +1.5% จากติดลบใน 4Q59 การขยายสาขาเป็นไปต่อเนื่อง ตั้งเป้า 1.3 หมื่นสาขาภายในปี 64 (จาก 9.5 พันสาขาในสิ้นปี 59) บริษัทปรับ Product Mixed เพิ่มมาร์จิ้น แนะซื้อสะสมจังหวะอ่อนตัว ให้ TP 75 บาท
• หุ้น Top Picks เดือนพ.ค. ประกอบด้วย GFPT (คาดกำไร 1Q60F โต 52%YoY แนวโน้มไก่ส่งออกสดใส), ROJNA (กำไร 2H60 แข็งแกร่งมาก ทั้งจากส่วนแบ่งกำไร TICON ที่ดีขึ้นและมีกำลังการผลิตไฟฟ้า SPP3 เข้ามา 110 MW), TISCO (สินเชื่อเช่าซื้อกระเตื้องขึ้น ดีลเข้าซื้อ SCBT คาดแล้วเสร็จ 2H60), TMT (กำไรปกติแข็งแกร่ง จาก Market Share ที่เพิ่มขึ้นเพราะบริการครบวงจรแบบ Solution จ่ายปันผลสูงมาก), TU (ธุรกิจปี 60 ฟื้นตัวดีขึ้นทั้งทูน่า แซลมอน และกุ้ง รวมทั้งกำลังเพิ่มสัดส่วนสินค้ามาร์จิ้นสูง ได้ประโยชน์จากทรัมป์ลดภาษีธุรกิจ) หุ้นกลยุทธ์ (พื้นฐานดี) แนะนำวันนี้เป็น ROJNA
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดยังเป็นลบเล็กๆต่อ การซื้อใหม่เน้นค่าบวก SET ที่ต่ำกว่า 1560 ดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตาม
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ RCI, SYNTEC, WORK, TU ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ ROBINS, VNT, EPG, SMIT, TCMC หุ้นแนะนำไปและให้หาจังหวะ Take Profit คือ RS, INTUCH, LIT หุ้นหลุด List ได้แก่ SEAFCO, AMATA
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
• สหรัฐ : เฟดคงดอกเบี้ยการประชุมรอบนี้ไว้ที่ 1% ตามคาด
เมื่อวานนี้ (3 พ.ค.) คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.75-1.00% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ โดยคณะกรรมการระบุว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไตรมาส 1/60 ที่ +0.7%QoQ ต่ำสุดในรอบ 3 ปีนั้นน่าจะเป็นเพียงชั่วคราว และส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระดับปานกลาง ทั้งนี้เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งในปีนี้ โดยตลาดประเมินว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบมิ.ย.เป็นครั้งที่สองของปีนี้
• สหรัฐ : การจ้างงานภาคเอกชนเดือนเม.ย.เพิ่ม 1.77 แสนตำแหน่ง ใกล้กับที่นักวิเคราะห์คาดไว้
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ รายงานว่าการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย.60 ใกล้กับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 175,000 ตำแหน่ง จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนเม.ย.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.6%
• ตลาดหุ้นสหรัฐ : ทรงๆ หลังเฟดคงดอกเบี้ยไว้ตามคาด
ดัชนี DJIA ปิดที่ 20,957.90 จุด เพิ่มขึ้น 8.01 จุด หรือ +0.04% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,388.13 จุด ลดลง 3.04 จุด หรือ -0.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,072.55 จุด ลดลง 22.82 จุด หรือ -0.37% ทั้งนี้การคงดอกเบี้ยของเฟดเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
• สัญญาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 47.82 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT เพิ่มขึ้น 33 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 50.79 ดอลลาร์/บาร์เรล โดย EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 930,000 บาร์เรล วูนะดีล 527.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันสัปดาห์ที่ 4 ซึ่งสอดคล้องกับ API ที่ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 4.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว แต่บรรยากาศการซื้อขายยังไม่สดใสเพราะมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันของสหรัฐและลิเบียเพิ่มขึ้น จับตาการประชุมประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ 25 พ.ค. นี้ว่าจะขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันจากกลางปีไปเป็นสิ้นปี 60 หรือไม่
- สัญญาทองคำ : อ่อนตัวลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 8.5 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ระดับ 1,248.50 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังดัชนีค่าเงินดอลลาร์เด้งขึ้น และคะแนนนิยมของมาครองที่นำเลอแปงอยู่พอควรก็ทำให้ความกังวลเรื่องฝรั่งเศสจะออกจาก EU ผ่อนคลายลง รวมถึงมาครองมีแผนลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
ปัจจัยในประเทศ :
• Wealth Perspective Equity : เดือนพฤษภา เป็นช่วง Earnings Season
# หุ้น Stock Picks ของเราเดือนเม.ย.60 ให้ผลตอบแทน -0.8%MoM พอๆกับตลาดรวมที่ -0.9%MoM โดยหุ้นที่ให้ Return ดีสุดคือ UTP (+3.3%) ส่วนหุ้นที่ปรับลงมากกว่าตลาด คือ BEM และ BCP ซึ่ง -3.4%MoM และ -3.8%MoM ตามลำดับ
# ปัจจัยที่ติดตามในเดือนพ.ค.60 ประกอบด้วย การประชุมเฟด 2-3 พ.ค.60 ซึ่งคาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1% ก่อนแล้วค่อยไปพิจารณาปรับขึ้นอีกรอบในเดือนมิ.ย.60, ผลเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบที่ 2 วันที่ 7 พ.ค.60 โดยโพลล์สำรวจล่าสุดระบุว่าคะแนนนิยมของนายมาครองที่มีแนวคิดสายกลาง และหนุนให้ฝรั่งเศสอยู่ใน EU ต่อนำที่ 60% ขณะที่คู่แข่งคือนางเลอแปงมีคะแนนนิยม 40%, รายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมีกำหนดเส้นตายเช้า 16 พ.ค.60, ประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งต้องดูว่าจะขยายระยะเวลาในการลดปริมาณการผลิตจากกลางปีไปเป็นสิ้นปี 60 หรือไม่, การผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายปี 60 ของสหรัฐ และการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิรูปภาษี กฎหมายภาคการเงิน และมาตรการอื่นๆ ของสหรัฐที่นำโดยทรัมป์
# โดยรวมปัจจัยภายนอกดูผ่อนคลายลงในระยะสั้น แต่ก็ยังวางใจไม่ได้เสียทีเดียว เพราะผู้นำสหรัฐและผู้นำเกาหลีเหนือถือเป็นเจ้าแห่งความไม่แน่นอนในยุคปัจจุบัน รวมทั้งผลเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่านายมาครองจะชนะ เพราะโพลล์เคยผิดมาแล้วในรอบ Brexit และเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ด้านการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็จะกดดันตลาดหุ้นเป็นระยะๆ ส่วนปัจจัยภายในค่อนข้างนิ่งเมื่อจบรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/60 และหมด XD ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นช้าทำให้กำไรกลุ่มพลังงานจะไม่ได้เติบโตสูงขณะที่กำไรกลุ่มแบงค์ขยายตัวจำกัด กลุ่มสื่อสารกำไรลดลงจากการแข่งขันและตัดจำหน่ายใบอนุญาต & ค่าสัมปทาน กลุ่มที่กำไรเติบโตสูงจะเป็นกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เช่น ไฟแนนซ์ สื่อ ค้าปลีก ท่องเที่ยว ขนส่ง เป็นต้น
# ยังคงให้เป้าหมาย SET Index ปีนี้ไว้ที่ 1,650 จุด (Median+0.5sd) มี Upsdie จากปัจจุบัน 5% โดยมีสมติฐานว่ากำไรตลาดหุ้นไทยเติบโต 4% ในปี 2560
# กลยุทธ์การลงทุน เลือกซื้อเป็นรายบริษัท (Selective Play) โดยหุ้น Top Picks เดือนพ.ค. ประกอบด้วย GFPT (คาดกำไร 1Q60F โต 52%YoY แนวโน้มไก่ส่งออกสดใส), ROJNA (กำไร 2H60 แข็งแกร่งมาก ทั้งจากส่วนแบ่งกำไร TICON ที่ดีขึ้นและมีกำลังการผลิตไฟฟ้า SPP3 เข้ามา 110 MW), TISCO (สินเชื่อเช่าซื้อกระเตื้องขึ้นดีลเข้าซื้อ SCBT คาดแล้วเสร็จ 2H60), TMT (กำไรปกติแข็งแกร่ง จาก Market Share ที่เพิ่มขึ้นเพราะบริการครบวงจรแบบ Solution จ่ายปันผลสูงมาก), TU (ธุรกิจปี 60 ฟื้นตัวดีขึ้นทั้งทูน่า แซลมอน และกุ้ง รวมทั้งกำลังเพิ่มสัดส่วนสินค้ามาร์จิ้นสูง ได้ประโยชน์จากทรัมป์ลดภาษีธุรกิจ) สำหรับ Dark Horse เลือกเป็น RS (คาดผลประกอบการเริ่มฟื้นตัว ธุรกิจสุขภาพและความงามทำรายได้เพิ่มเป็นลำดับ มีโอกาสที่จะพลิกเป็นกำไรได้ในปี 60 จากขาดทุน 102 ล้านบาทในปี 59)
+/- ใครได้-ใครเสีย...จากราคาก๊าซมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้
# ราคาก๊าซอยู่ในทิศทางขาขึ้น จากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นในช่วงปี 59 (Brent ปรับขึ้นจาก 27 ดอลลาร์/บาร์เรลในต้นปี 59 เป็น 58 ดอลลาร์/บาร์เรลในต้นปี 60) ทำให้ราคาก๊าซจะปรับขึ้นตามมา ทั้งนี้โดยปกติแล้วราคาก๊าซจะมี Lag time จากราคาน้ำมันเตาประมาณ 8-12 เดือน ซึ่งการปรับขึ้นของราคาก๊าซเป็นบวกกับธุรกิจโรงไฟฟ้า เพราะค่า Ft จะปรับขึ้นตามต้นทุนก๊าซจากอ่าวไทย & เมียนมาร์ การนำเข้า LNG และก๊าซจากแหล่งบนบกในประเทศ ทั้งนี้กกพ.ได้ปรับขึ้นค่า Ft งวดเดือนพ.ค.-ส.ค.60 เท่ากับ 12.52 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นเป็น 3.5079 บาท/หน่วย และค่า Ft มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อตามราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้น
# ใครได้-ใครเสีย บริษัทโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากค่า Ft ที่สูงขึ้น ได้แก่ ROJNA, GPSC, GLOW, RATCH, EGCO เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของราคาก๊าซจะเป็นลบกับธุรกิจที่ใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบ เช่น กระเบื้องปูพื้นบุผนัง (DCC, RCI, TGCI, UMI) ซึ่งมีต้นทุนก๊าซประมาณ 30% ของต้นทุนการผลิตรวม
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]