- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 02 May 2017 17:29
- Hits: 1550
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET น่าจะมีลักษณะแกว่งตัวในกรอบ 1560-1573 จุด โดยยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดยตลาดน่าจะให้น้ำหนักต่อการประชุม Fed และการรายงานหุ้น Real sector หลังจากมีแรงขายรับงบ SCC กลยุทธ์แนะหุ้น 1) net cash (STEC, LANNA) 2) EPS Growth สูง+upside (LPH, PTT) 3) หุ้น Turnaround (RS, JWD) และ 4) PER ต่ำ&เงินปันผลสูง (IRPC, THANI) Top picks: JWD([email protected]), RS([email protected]) ในฐานะที่เป็นหุ้น Turnaround
การประชุม Fed 2 วันนี้ไม่มีอะไรใหม่..แต่น่าจะให้น้ำหนักต่อการเพิ่มเพดานหนี้ฯ
วันนี้เป็นวันแรกของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ระหว่างวันที่ 2-3 พ.ค.2560 (ทราบผลเช้าวันที่ 4 พ.ค. ตามเวลาไทย) คาดว่าไม่น่าจะแตกต่างจากผลการประชุมรอบที่ผ่านมา แต่น่าจะให้น้ำหนักกับการประชุมรอบถัดไป 13-14 มิ.ย. สอดคล้องผลสำรวจ Bloomberg คาดโอกาสขึ้นดอกเบี้ยการประชุมรอบนี้เพียง 13.3% แต่เพิ่มเป็น 70% ในการประชุมรอบถัดไป ทั้งนี้เนื่องจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมยังส่งสัญญาณขยายตัวต่อเนื่อง แม้ระยะสั้นอาจมีความขัดแย้งบ้าง คือ ภาคการผลิต พบว่า ดัชนี PMI จัดทำโดย ISM เดือน เม.ย. ลดลง 2 เดือนติดอยู่ที่ระดับ 54.8 จุด จากที่ขยายตัว 7 เดือนติดต่อกันในช่วงก่อนหน้า สวนทางกับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 2 เดือนติดต่อกัน ขณะที่ฝั่งภาคครัวเรือน พบว่าตลาดบ้านยังแข็งแกร่ง กล่าวคือ ยอดขายบ้านใหม่ (New Home sales)เดือน มี.ค. เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ เดือนล่าสุด มี.ค. อยู่ที่ 2.4%yoy เทียบกับ อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1% เงินเฟ้อที่สูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายทำให้เชื่อว่าภาพการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐในปีนี้ยังคงที่ 2 ครั้งจากการประชุมที่เหลือ 6 ครั้ง โดย Fed คาดเป้าหมายดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปี 2560 ที่ 1.5%
ประเด็นที่น่าจะมีน้ำหนักต่อตลาด คือ การพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย มูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญ เพื่อให้รัฐบาลมีเงินใช้จ่ายต่อไปได้ถึง 1 ต.ค. ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนสภาคองเกรสอนุมัติ ภายในวันที่ 5 พ.ค. นี้ ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งยังต้องพิจารณาการปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะฯ ที่กำลังเข้าใกล้เพดานสูงสุดอีกด้วย และ ถัดมาคือ การเสนอแผนการปรับลดภาษีทั้งระบบ ตามแผนประธานาธิบดี ทรัมป์ ซึ่งยังไม่ได้ระบุเวลาชัดเจน จะใช้เมื่อไหร่ เนื่องจากการใช้ภาษีใหม่ทั้งระบบต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ซึ่งอาจจะกินเวลาหรือมีความเสี่ยงที่อาจจะได้รับการพิจารณาผ่านเหมือนกรณีก่อนหน้าปลายเดือน 24 มี.ค. รัฐบาลทรัมป์ล้มเหลวจากการผลักดันนโยบายหลักเกี่ยวกับกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่(Trump care)
ตลาดแกว่งตัว ให้น้ำหนักต่อหุ้น Turnaround JWD..ค่อยๆ ดีขึ้น
การประกาศผลประกอบการงวด 1Q60 คาดว่าหลายบริษัทจะมีผลประกอบการที่ดี และทำให้ราคาหุ้นช่วงประกาศงบสามารถ Outperform ได้มากกว่าตลาด เช่น IRPC ([email protected]), PTTGC ([email protected]), BANPU (FV@B24) ซึ่งฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำให้ทยอยสะสมลงทุนระยะยาว ส่วนหุ้นที่น่าจะเห็นการเคลื่อนไหวของราคาตอบสนองได้รวดเร็วกว่า ได้แก่ หุ้นที่คาดว่าผลประกอบการจะ Turnaround ที่โดดเด่น คือ JWD (FV@B11) คาดปี 2560 มีกำไรสุทธิ 221 ล้านบาท Turnaround YoY เนื่องจากปีก่อนมีค่าใช้จ่ายพิเศษตั้งประมาณการหนี้สินสูงถึง 130 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานปกติคาดว่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องหลังเห็นสัญญาณบวกในหลายธุรกิจ เช่น ปริมาณหมุนเวียนตู้คอนเทนเนอร์สินค้าอันตรายที่หนาแน่นเกิน 4 หมื่น TEU/ไตรมาส ตามกิจกรรมขนส่งในท่าเรือแหลมฉบังที่คึกคัก ส่วนธุรกิจห้องเย็น ฝ่ายวิจัยมองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เพราะปัญหา IUU Fishing ได้รับการแก้ไขต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการประมงกล้าสะสมสต็อกมากขึ้น โดยรวมประเมิน Occupancy Rate ธุรกิจห้องเย็นปี 2560 ขยับดีขึ้นเป็น 55-60% เทียบกับปีก่อนที่บริเวณ 50% นอกจากนี้ JWD ยังมีโอกาสเติบโตแบบ Inorganic growth จากการลงทุนซื้อกิจการในต่างประเทศ ซึ่งฝ่ายวิจัยยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ โดย JWD มีความพร้อมในการลงทุนสูงจากโครงสร้างการเงินที่มี Net Gearing เพียง 0.64x อีกทั้งยังสามารถออกหุ้นกู้ได้ถึง 3 พันล้านบาทตามที่ได้ขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้ โดยราคาปัจจุบัน มี Upside เกือบ 20% จึงแนะนำ ซื้อ
หุ้น Domestic..อสังหาฯ บันเทิง ยานยนต์ มีแนวโน้มดีในช่วงที่เหลือของปีนี้
เศรษฐกิจไทยในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีขึ้น หลังจากที่ซบเซาลงในช่วง 4Q59 จากช่วงไว้อาลัย โดยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภค มีการฟื้นตัวติดต่อกัน 4 เดือน รวมทั้งรายได้เกษตรกรก็มีแนวโน้มดีขึ้นตามราคาสินค้าเกษตรที่ฟื้นตัวหลังปัญหาภัยแล้งคลี่คลายลง อีกทั้งภาครัฐยังมีมาตรการเพื่อช่วยเหลือ น่าจะช่วยหนุนการบริโภค (C) ให้ดีขึ้น และน่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play โดยมีแนวโน้มผลการดำเนินงาน ดังนี้
กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย: ประเมินว่าผลการดำเนินงาน 1Q60 มีโอกาสเป็นช่วงต่ำสุดของปี โดยลดลง YoY เนื่องจากงวดปีก่อนมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ มาช่วยเร่งยอดขายและการโอนฯ อย่างไรก็ตามคาดผลประกอบการจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นรายไตรมาส และกลับมาพีคสุดใน 4Q60 ตามยอดโอนฯ ที่สูงขึ้น อิงจากกำหนดการสร้างเสร็จของคอนโดฯ ใหม่ที่จะเข้ามามากสุดในไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ ประมาณการรายได้ขายอสังหาฯ ปี 2560 (ไม่รวม JV) จะอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท (+9% yoy) และโครงการ JV ที่รอรับรู้รายได้ปีนี้ประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท โดยรวมยอดขายกลุ่มฯ ทั้งปีอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% yoy ขณะที่กำไรปกติของกลุ่มฯ อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท เติบโต 15% yoy ทั้งนี้ การลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้เป็นการ Selective Buy เน้นหุ้นที่มีกำไรเติบโตดี, Backlog ต่อรายได้สูง และ เงินปันผลจูงใจ ประกอบด้วย LH ([email protected]) หุ้นขนาดใหญ่สุดในกลุ่มฯ ที่มีความมั่นคงทั้งฐานรายได้จากทั้งธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายและเพื่อเช่า ขณะที่การลงทุนในบริษัทร่วมช่วยสร้างส่วนแบ่งกำไรเข้าปีละกว่า 3 พันล้านบาท (สัดส่วนกว่า 30% ของฐานกำไรปกติ) คาดผลักดันกำไรปกติปีนี้เติบโต 12% yoy ซึ่งยังไม่ได้รวมแผนขายโรงแรม 1 แห่งเข้ากองทุน REIT คาดรับรู้กำไรพิเศษประมาณ 1 พันล้านบาทภายใน 1H60 ด้านเงินปันผลมีความโดดเด่นสุดในกลุ่มฯ สูงเกิน 7% ต่อปี SPALI ([email protected]) ปี 2560 รายได้ขายอสังหาฯ มี Backlog รองรับแล้ว 56% และคาดการณ์กำไรเติบโต 14% yoy ขณะที่ราคาปัจจุบันน่าสนใจด้วย upside 27%, PER ซื้อขายต่ำ 7.9 เท่า และ Div Yield 4.7% ต่อปี และ ANAN ([email protected]) ถือเป็น Growth Stock ของกลุ่มฯ ด้วยคาดหมายกำไรปี 2560 เติบโตโดดเด่น 21% yoy หรือ 1.8 พันล้านบาท แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมสูงถึง 553 ล้านบาท (เพิ่มจากปีก่อนที่ 115 ล้านบาท) เนื่องจากปีนี้มีการส่งมอบโครงการคอนโดฯ ใหม่มากถึง 10 โครงการ ในส่วนนี้เป็นโครงการ JV รวม 5 โครงการ
กลุ่มบันเทิง: อ้างอิงรายงานโดย Nielsen พบว่าเม็ดเงินโฆษณากลุ่ม TV Digital งวด 1Q60 อยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท (+45% QoQ, -27% YoY) โดยถ้าพิจารณารายเดือนจะพบว่าเม็ดเงินโฆษณาเดือน มี.ค. 60 ฟื้นตัวเด่น 20% MoM เป็น 2.1 พันล้านบาท เหตุเพราะเอเจนซี่ได้ชะลอการเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับช่องทีวีมาเป็นช่วงนี้ โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าผู้ประกอบการ TV Digital ส่วนใหญ่จะมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัว QoQ จากการกลับมาดำเนินงานได้เต็มไตรมาส หลังผ่านเหตุการณ์ไว้อาลัย โดย WORK (ซื้อ: [email protected]) คาดพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 87 ล้านบาท เทียบไตรมาสก่อนที่ขาดทุน และเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว YoY ด้วยผลบวกจาก Utilization Rate ที่เพิ่มขึ้นเป็น 69% เทียบกับ 44% ในไตรมาสก่อน กอปรกับเรตติ้งของรายการวาไรตี้ที่พุ่งขึ้นช่วยให้สามารถขยับ Ad Rate เพิ่มขึ้นได้มากเป็น 6.2 หมื่นบาท/นาที ส่วนแนวโน้มในงวด 2Q60 คาดว่าทั้งรายได้และกำไรจะยิ่งพุ่งกระฉูดขึ้นไปอีก
เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High Season ของการใช้เงินโฆษณา อีกทั้ง Ad Rate ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายการ The Mask Singer Season 2 ซึ่งมีค่าโฆษณาสูงมากถึง 3.8-4.2 แสนบาท/นาที ด้าน RS (ซื้อ: [email protected]) คาด 1Q60 พลิกกลับมีกำไรสุทธิเล็กน้อย 8.3 ล้านบาท แต่เป็นสัญญาณที่ดีหลังขาดทุนมา 3 ไตรมาสติดต่อกันก่อนหน้า หลักๆถูกหนุนด้วยการปรับขึ้นของค่าโฆษณารายการมวยและข่าว หนุน Ad Rate เพิ่มขึ้น 35% YoY เป็น 3 หมื่นบาท/นาที และที่โดดเด่นคือธุรกิจ Health&Beauty ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจากการขายผ่านช่องทาง Telesales โดยใช้สื่อช่อง 8 และช่อง 2 สนับสนุน คาดสร้างรายได้สูงถึง 212 ล้านบาทใน 1Q60 และคาดว่าโมเมนตัมจะยังดีต่อเนื่องใน 2Q60 หลังมีการขยาย Capacity ของ Call Center เพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าตัวเป็น 200 ที่นั่ง รองรับต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรวมจึงมองว่า RS เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรในระยะสั้น-กลาง
กลุ่มยานยนต์: ยอดขายรถในประเทศช่วง 1Q60 เพิ่มขึ้น 16% yoy อยู่ที่ 2.1 แสนคัน อานิสงค์จากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ บวกกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและสิ้นสุดการถือครองรถคันแรก คาดหนุนยอดขายรถปี 2560 สู่เป้าหมายอย่างน้อย 8 แสนคัน เติบโตครั้งแรกในรอบ 4 ปี ระดับ 4% yoy ขณะที่ยอดส่งออกรถ 1Q60 ลดลง 8% yoy อยู่ที่ 2.8 แสนคัน สาเหตุจากตลาดคู่ค้าหลักอย่างตลาดตะวันออกกลางเศรษฐกิจชะลอตัว โดยคาดยอดส่งออกรถปี 2560 ใกล้เคียงปีก่อนราว 1.2 ล้านคัน โดยคาดหวังการฟื้นตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี อานิสงค์จากการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า อาทิ ตลาดโอเชียเนีย และอเมริกาเหนือ
ทั้งนี้ ประเมินยอดผลิตรถปี 2560 ที่ 2 ล้านคัน เติบโต 3% yoy แม้ยอดผลิตรถในช่วง 1Q60 ลดลง 4% yoy ที่ 4.9 แสนคัน แต่คาดเห็นการ ฟื้นตัวช่วง 2H60 แรงขับเคลื่อนจากตลาดรถในประเทศที่เติบโตเด่นชัดเข้ามาช่วยชดเชยตลาดส่งออกที่ยังอ่อนตัว โดยการลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้เป็นการ Selective Buy หุ้นที่มี Valuation ถูกและมี Upside จาก Fair Value ปี 2560 อย่าง AH ([email protected]) ราคาหุ้น Underperform กลุ่มฯ ตามด้วย IRC ([email protected]) และ SAT ([email protected]) มี PER ซื้อขาย 8-10 เท่า, PBV ต่ำ รวมถึงคาด Div Yield ราว 4% ต่อปี
คาดเดือน พ.ค. Fund Flow มีโอกาสไหลออกตาม Sell in May
วานนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคทั้ง 5 ประเทศ หยุดทำการเนื่องจากเป็นวันแรงงาน ส่วนวันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นฟิลิปปินส์หยุดทำการเนื่องจากเป็นวันหยุด ส่วนตลาดหุ้นที่เหลือยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 ด้วยมูลค่าราว 213 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นเกาหลีใต้เพียงแห่งเดียวที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 17 ล้านเหรียญฯ (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 6 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลือต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 92 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 31 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อกันนานถึง 17 วัน) และไทย 107 ล้านเหรียญ หรือ 3.69 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) เช่นเดียวกับสถาบันฯในประเทศที่ซื้อสุทธิกว่า 5.7 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
สรุป Fund Flow ในเดือน เม.ย. ความกังวลฝรั่งเศสออกจากสหภาพยุโรปเริ่มผ่อนคลายลง หลังนายเอมมานูเอล มาครอง ได้คะแนนนำในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบแรก ณ วันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นในภูมิภาคกว่า 3.4 พันล้านเหรียญฯ และเป็นการซื้อสุทธิทุกประเทศ
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นน่าจะตอบรับประเด็นดังกล่าวไปมากแล้ว และมีโอกาสกลับมาขายทำกำไรในเดือน พ.ค. นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งพบว่าเดือน พ.ค. เป็นเดือนที่ SET Index ปรับตัวลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆที่เหลือ หรือที่เรียกกันว่า “Sell in May” โดยลดลงเฉลี่ยราว 1.97% และปรับตัวลดลงถึง 3 ใน 5 ปี อีกทั้งใน 5 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติยังขายสุทธิเฉลี่ยหุ้นไทยในเดือนนี้อีกกว่า 9.55 พันล้านบาท และเป็นการขายสุทธิถึง 4 ใน 5 ปี
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636