- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 12 April 2017 16:53
- Hits: 2714
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตราบที่มีความขัดแย้ง สหรัฐ-ซีเรีย-เกาหลีเหนือ หนุนราคาน้ำมันขึ้นดิบใกล้ 55 เหรียญฯ หนุนหุ้นปิโตรเลียม (PTTEP,PTT, BANPU, LANNA) และ ความคืบหน้าประมูลรถไฟทางคู่น่าหนุนผู้รับเหมาที่มีความพร้อม และมีเงินสดสุทธิ (STEC, UNIQ) ล้วนช่วยประคอง SET แกว่งตัวแดนบวก ต่อเนื่องหลังสงกรานต์ Top picks STEC([email protected]) และ LANNA([email protected]) หุ้น Laggard ซึ่งมีจุดเด่น net cash position แล้วยังมี EPS Growth สูง 46% และ upside 21%
(-) ปัจจัยภายนอกเป็นทั้งอุปสรรคและโอกาส หนุนน้ำมัน/ทองคำ
ปัจจัยต่างประเทศที่ตลาดให้น้ำหนัก คือ ประเด็นความคืบหน้าการเจรจาการค้าแบบทวิภาคี(Bilateral trade)ระหว่างสหรัฐและจีนภายใน 100 วันนับจากนี้ โดยจีนยินดีจะลดการเกินดุลกับสหรัฐในอนาคต สินค้านำเข้าของสหรัฐ ที่อาจจะกระทบได้แก่ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนเครื่องมือสื่อสาร มีสัดส่วนสูงสุดราว 48.26% ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีน รองลงมาสินค้าเบ็ดเตล็ด 15.59% เสื้อผ้าและสิ่งทอ 8.8% เหล็ก 5.28% รองเท้า 4.35% พลาสติกและยาง 4.03% เป็นต้น อย่างไรก็ตามสหรัฐมีข้อต่อรองกับจีน โดยจะผ่อนปรนการเจรจาการค้า หากจีนตกลงจะมีส่วนร่วมในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือ ขณะที่จีนอาจจะสงวนท่าที เพราะยังมีผลประโยชน์จาการใช้เกาหลีเหนือเป็นดินแดนกันชนระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น (เนื่องจากยังมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกันอยู่)
และประเด็นถัดมาคือ 14 เม.ย. จะมีรายงานอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐเดือน มี.ค. ตลาดคาด 2.6%yoy จาก 2.7%yoy ในเดือน ก.พ. แม้ Fed ให้น้ำหนักไปที่เงินเฟ้อที่ไม่รวมอาหารสดและพลังงาน (Core Inflation) ซึ่งที่ผ่านมา แกว่งตัวในกรอบ 2.1-2.3% ตั้งแต่แต่ ก.พ.2559 และ ล่าสุดอยู่ที่ 2.2%yoy โดยตราบที่เงินเฟ้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐที่ 1% น่าจะทำให้ปีนี้ Fed มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าที่คาดไว้ 2 ครั้ง ขณะที่ล่าสุดผลสำรวจ Fed Fund Future ใน Bloomberg คาดโอกาสขึ้นดอกเบี้ยรอบ 2-3 พ.ค. น้อยคือเพียง 13.3% แต่ไปให้น้ำหนักรอบ มิ.ย. 63.2%
ขณะที่ในยุโรป ตลาดให้น้ำหนักประเด็นการเมือง ซึ่งใกล้จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งจะจัด 2 รอบ โดยรอบแรก 23 เม.ย. และหลังจากนี้ แต่ละพรรคจะทำการส่งตัวแทนพรรค ที่มีคะแนนสูงสุด 2 อันดับ เข้าสู่การเลือกตั้งรอบที่ 2 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 7 พ.ค. โดยประเด็นที่สร้างความกังวลต่อตลาดคือ คะแนนความนิยมพรรคฝ่ายขวาจัด นำโดยนาง Marine Le Pen (ฝ่ายค้าน) มีแนวความคิดต้องการถอนตัวอออกจากยุโรปดังเช่นกันอังกฤษ (รวมทั้งกลับมาใช้สกุลฟรังก์ดังเดิม) มีคะแนนนำทุกพรรค (ผลการสำรวจของ Financial times วันที่ 7 เม.ย. พบว่า นาง Le Pen จะได้คะแนนเสียงนำราว 24% ในการเลือกตั้งรอบแรก ขณะที่นายEmmanuel Macron อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจได้คะแนน 23% และนาย François Fillon อดีตนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสจะได้คะแนน 19%) สถานการณ์นี้จึงยังคงกดดันเงินยูโรอ่อนค่าต่อเนื่อง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ค่าเงินปอนด์ และเงินยูโรอ่อนค่าราว 18% และอ่อนค่าราว 6.1% นับจากวันที่ 24 มิ.ย. 2559 หรือหลังการทำประชามติ (Brexit)
(-) ราคาน้ำมันยังฟื้น แนะนำหุ้นถ่านหินที่ Laggard คือ LANNA
ตราบที่ความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐ กับซีเรีย และเกาหลีเหนือยังมีอยู่ในช่วงสั้น ๆ ยังช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบดูไบขึ้นแตะ 55 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกับสมมติฐานของ ASPS และ น่าจะหนุนผลประกอบการของผู้ประกอบการในกลุ่มผลิตและสำรวจน้ำมัน และ ถ่านหิน ทุกราย (PTT, PTTEP, BANPU, LANNA) แม้ระยะสั้น ราคาถ่านหินอาจจะฟื้นตัวช้ากว่าราคาน้ำมัน และ การขยายโรงไฟฟ้าใหม่ มีการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงลดลงก็ตาม แต่ถือเป็นพลังงานทางเลือกที่ยังมีอยู่ จึงเชื่อว่าราคาถ่านหินได้ผ่านจุดต่ำสุด จากนี้น่าจะอยู่ในลักษณะทรงตัว และน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในงวด 2H60 และหากพิจารณาผู้ประกอบการในกลุ่มถ่านหินได้มีกระจายธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น การลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแล้วเช่น BANPU (FV@B24) และล่าสุด LANNA([email protected]) เตรียมเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้า IPP ในอินโดนีเซีย (ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง) ขนาด 200 เมกะวัตต์ (ผ่าน Lanna Power Generation ร่วมทุนกับผู้ผลิตโรงไฟฟ้าจากประเทศไทย) คาดว่าเงินลงทุนรวม 600 ล้านเหรียญฯ (2 หมื่นล้านบาท) ปัจจุบัน LANNA มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานกว่าปีละ 1 พันล้านบาท และมี ฐานะ net cash position และหากอิงประมาณการกำไรปี 2560 ของ LANNA อยู่ที่ 0.76 บาท เพิ่มขึ้น 46% จากปี 2559 ภายใต้สมมติฐานราคาถ่านหินที่ 45 เหรียญฯ ต่อตัน ซึ่งต่ำกว่าดัชนีราคาถ่านหินที่เฉลี่ย 70-75 เหรียญฯ เพราะ ค่าความร้อนถ่านหินของ LANNA ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเกือบ 40% ราคาตลาดยังมี upside 21% ถือว่าดึงดูดการลงทุน มากกว่า BANPU ที่ upside จำกัด แม้ EPS Growth จะก้าวกระโดดกว่า 3 เท่าตัวในปีนี้ก็ตาม แต่ราคาหุ้นได้ขึ้นตอบรับไปแล้ว
(+) กลุ่มรับเหมาฯ กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังร่าง TOR แรกมีความคืบหน้า
วานนี้ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังซบเซาไปนาน (ตั้งแต่กลาง มี.ค.) หลังคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง (ซูเปอร์บอร์ดจัดซื้อจัดจ้าง) มีมติยกเลิก TOR โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง มูลค่ากว่า 9.77 หมื่นล้านบาท เพื่อซอยสัญญาให้เล็กลง และเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมารายกลางเข้ามาร่วมประมูลได้ ล่าสุด 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ร.ฟ.ท. ได้เผยแพร่ร่าง TOR ฉบับใหม่ ของโครงการรถไฟทางคู่เส้น “หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์” ระยะ 84 กม. ราคากลาง 7,340.47 ล้านบาท (ลดจากเดิม 9,886.345 ล้านบาท) มีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงจากเดิม คือ
1. ลดมูลค่าผลงานก่อสร้างลง จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 1.4 พันล้านบาท เหลือ 734 ล้านบาท
2. ตัดเงื่อนไขที่ระบุให้ผู้เสนอราคา ต้องเสนอผู้รับจ้างช่วงในงานระบบอาณัติสัญญาณอย่างน้อย 1 ราย แต่ไม่เกิน 3 ราย ออก เนื่อง จากขอบเขตของงานก่อสร้างได้ตัดงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคมตลอดแนวเส้นทางโครงการออก โดยจะแยกประมูลต่างหาก
3. ระบุอัตราค่าปรับ หากผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดในสัญญาเป็นรายวันในอัตรา 0.1% ของราคาตามสัญญา
ทั้งนี้ ร่าง TOR ดังกล่าว กำหนดวันสิ้นสุดรับฟังคำวิจารณ์ในวันที่ 18 เม.ย. 60 ก่อนที่จะประกาศเชิญชวนบริษัทรับเหมา ฯ ซื้อซองประมูลในช่วงปลาย เม.ย. และจะทราบผลการประมูลได้ราวเดือน มิ.ย. นี้
โดยรวมแม้เงื่อนไขการประมูลหลายข้อจะผ่อนปรนลง เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทรับเหมาขนาดกลางมีโอกาสเข้ามาแข่งขันมากขึ้น แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อย่าง ITD,CK,STEC และ UNIQ ยังคงมีความได้เปรียบกว่าบริษัทรับเหมารายอื่น โดยเฉพาะการกำหนดอัตราค่าปรับ น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัทรับเหมาขนาดกลางที่ไม่มีประสบการณ์ตรงในการก่อสร้างรถไฟทางคู่เกิดความลังเลในการเข้าประมูล
จากนี้จึงคาดว่าจะเห็นความคืบหน้าของงานประมูลรถไฟทางคู่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ TOR ของรถไฟทางคู่ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์เป็นต้นแบบ ซึ่ง ร.ฟ.ท. ตั้งเป้าจะผลักดัน TOR รถไฟทางคู่ที่เหลืออีก 4 เส้นทาง ได้แก่เส้นทาง ลพบุรี-ปากน้ำโพ เส้นทางมาบกะเบา-ถนนจิระ เส้นทางนครปฐม-หัวหิน และเส้นทางประจวบ-ชุมพร ออกมาให้ได้สัปดาห์ละ 1 เส้นทาง ซึ่งจะทำให้หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ยังคงมีประเด็นเก็งกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายวิจัยแนะนำ STEC ([email protected]) ที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งที่สุด เนื่องจากมีสถานะเป็น Net Cash ขณะที่ UNIQ (FV@B25) มีความน่าสนใจในมิติการเติบโตที่เด่นชัดที่สุด เทียบกับบริษัทรับเหมาใหญ่รายอื่น
(-) ต่างชาติยังคงเลือกขายหุ้นในเอเชียบางประเทศ รวมถึงไทย
ภาพรวมต่างชาติยังคงเลือกขายสุทธิหุ้นในเอเชียบางประเทศ โดยวานนี้ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่า 95 ล้านเหรียญ แต่มีตลาดหุ้นอยู่ 2 แห่งเท่านั้น ที่ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ อินโดนีเซียถูกซื้อสุทธิอีกกว่า 42 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7) และฟิลิปปินส์ 2 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 3 แห่งต่างชาติยังคงขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ 89 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยไต้หวัน 28 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) และไทยที่ถูกขายสุทธิราว 22 ล้านเหรียญ หรือ 759 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตรงกันข้ามกับสถาบันฯในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 754 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิราว 7.23 พันล้านบาท ต่างกับต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิ 548 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636