WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

เลือกซื้อ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1570
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
      ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET Index ปรับขึ้น 5.75 จุด ปิดที่ 1580.86 ทั้งนี้มองว่าในช่วงสั้นๆ อาจมีเงินไหลลงทุนไหลกลับสู่ตลาด EM หลังมาตรการทรัมป์ดูไม่ค่อยราบรื่นนัก อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยจะหยุดทำการยาวในช่วงสงกรานต์ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อ 1.3 พันล้านบาท รายย่อยนำขายสุทธิ 1.06 พันล้านบาท สำหรับปัจจัยสำคัญช่วงนี้ ได้แก่
- รัสเซีย : เกิดเหตุระเบิดรถไฟใต้ดินเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เสียชีวิต 10 บาดเจ็บ 50...ภัยก่อการร้ายกดดันตลาดหุ้นในระยะสั้น
สหรัฐ : จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.ศุกร์นี้ คาดเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่ง อัตราว่างงาน 4.7%
-/สหรัฐ : PMI ภาคการผลิตของมาร์กิตและ ISM เดือนมี.ค.ลดลง แต่ยังสูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการเติบโตแต่อัตราชะลอลง
กระทรวงพาณิชย์ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อปี 60 เป็น 1.5-2.2% (เดิม 1.5-2.0%) หลังรายได้ภาคเกษตร & ส่งออกฟื้นตัวได้ดีขึ้น
กระทรวงพาณิชย์นัดผู้ส่งออกหารือรับมือการที่สหรัฐอาจออกมีมาตรการกีดกันการค้าในสัปดาห์นี้ (ไทยเกินดุลสหรัฐเป็นอันดับที่ 11)
/- CPF ซื้อเวสต์บริดจ์ ฟู้ด กรุ๊ป (WFGL) ที่ทำธุรกิจจัดจำหน่ายเนื้อสัตว์แปรรูป & อาหารสำเร็จรูปในอังกฤษ และ EU และลงทุนในบริษัทที่ได้โควต้านำเข้าเนื้อสัตว์ปีกในอังกฤษ & EU ราคาซื้อ 2.6 พันลบ.
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing เป็นระยะ หุ้น Top Picks ของเดือนเม.ย.คือ BCP, BEM, TCAP, TU ด้าน Dark Horse เป็น UTP หุ้นกลยุทธ์ (ที่พื้นฐานดี) แนะนำวันนี้เป็น BCP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดรวมกลับเป็นบวกเล็กๆ แนวต้าน 1590, 1600 ต่ำกว่า 1570 ควร Wait & See หรือลดพอร์ตตาม
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SPRC, VNT, FN, ACAP ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ KKP, HANA, EPG, ESSO, TSR, AMA, CPN, GFPT, SCP, STA, SAMTEL, GIFT, BR, KOOL หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ SRICHA, BANPU, TCAP หุ้นหลุด List ได้แก่ DELTA

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ :
- รัสเซีย : เกิดเหตุระเบิดรถไฟใต้ดินเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก...ภัยก่อการร้ายเข้ามากดดันเป็นระยะ
เกิดเหตุระเบิดที่รถไฟใต้ดินของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2 สถานี มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย และบาดเจ็บ 50 ราย หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้สั่งปิดสถานีรถไฟใต้ดินทุกแห่งของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ด้านประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ระบุว่า เจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนหาสาเหตุการระเบิดในครั้งนี้ ซึ่งที่ผ่านมารัสเซียมักตกเป็นเป้าการโจมตีของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชเชน

- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดลดลงเล็กน้อย
ดัชนี DJIA ปิดที่ 20,650.21 จุด ลดลง 13.01 จุด หรือ -0.06% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,358.84 จุด ลดลง 3.88 จุด หรือ -0.16% ส่วนดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,894.68 จุด ลดลง 17.06 จุด หรือ -0.29% ปัจจัยกดดัน คือ ภาคผลิตที่เติบโตชะลอลงในเดือนมี.ค. และยอดขายรถยนต์ในสหรัฐเดือนมี.ค.ลดลงต่อเป็นเดือนที่ 3

สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมี.ค.ลดลงแต่ยังเหนือ 50
มาร์กิต เปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขั้นสุดท้ายสำหรับภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.3 ในเดือนมี.ค. จากระดับ 54.2 ในเดือนก.พ. ส่วนดัชนีการผลิตของ ISM ลดลงสู่ระดับ 57.2 ในเดือนมี.ค จากระดับ 57.7 ในเดือนก.พ.

- สัญญาน้ำมันดิบ : ลดลงหลังลิเบียกลับมาผลิตอีกครั้ง
ลิเบียเริ่มกลับมาผลิตน้ำมันอีกครั้ง หลังจากที่ประสบภาวะชะงักงันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ (กำลังการผลิต 2.2 แสนบาร์เรล/วัน) รวมทั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 11 สัปดาห์ติดต่อกันเป็น 662 แท่น ทำให้ราคาน้ำมันร่วงลง ปิดตลาดสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.ลดลง 36 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 50.24 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 53.12 ดอลลาร์/บาร์เรล

+ สัญญาทองคำ : ขยับขึ้นต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 2.8 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่ระดับ 1,254 ดอลลาร์/ออนซ์ ด้านดัชนีค่าเงินดอลลาร์ทรงๆที่ 100.45

ปัจจัยในประเทศ :
Wealth Perspective Equity : เมษา...Preview ผลประกอบการ 1Q60 หลังสงกรานต์
# เดือนมี.ค.ผลตอบแทนจากหุ้นที่เราเลือกอยู่ที่ +1%MoM ใกล้เคียงกับตลาดรวมที่ +0.8%MoM โดยหุ้นที่ปรับขึ้นดีคือ TU (+5.4%MoM) ส่วนผลตอบแทนสะสม 3M60 ของหุ้นแนะนำเราเท่ากับ +1.2%YTD ต่ำกว่าตลาดรวมที่ +1.7%YTD
# ปัจจัยภายนอกที่ติดตามในเดือนเม.ย. คือ 1. การเลือกตั้งรอบแรกในฝรั่งเศส ซึ่งตลาดกำลังดูว่าพรรคขวาจัดที่นำโดย มารี เลอแปง จะได้คะแนนนิยมเพิ่มแค่ไหน เพราะพรรคนี้หนุนให้ฝรั่งเศสออกจากการเป็นสมาชิก EU, 2. รัฐบาลทรัมป์จะเสนอร่างงบประมาณให้สภาคองเกรสพิจารณา ซึ่งมีการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมและค่าก่อสร้างกำแพงสหรัฐ-เม็กซิโกด้วย ถ้าหากร่างฯไม่ผ่าน ก็อาจมี Shut down ได้, 3. การออกมาตรการใหม่ๆ ของทรัมป์, 4. ความคืบหน้าเรื่อง Brexit และ 5.ข้อมูลเศรษฐกิจประเทศชั้นนำ
# ปัจจัยในประเทศ ประกอบด้วย 1. ความคืบหน้าในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ, 2. การทำ Preview ผลประกอบการไตรมาส 1/60, 3. แนวโน้มการส่งออก (ว่าจะยังดีต่อเนื่องหรือไม่) และ 4. การขึ้นเครื่องหมาย XD ของบริษัทจดทะเบียน
# ประเมินดัชนีเป้าหมายปีนี้ไว้ที่ 1,650 จุด (+0.5SD) ทั้นี้ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำลังปรับทิศทางเป็นขาขึ้นทำให้ตลาดจะซื้อขายบน P/E ที่ต่ำลง (ช่วงดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติการณ์และยาวนาน + สภาพคล่องทางการเงินสูงๆ ตลาดหุ้นจะซื้อขายที่ P/E สูง กล่าวคือ +1SD ถึง +2SD)
# กลยุทธ์การลงทุน : ระยะสั้นมาก อาจมี Fund Flow ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ หลังตลาดหุ้นสหรัฐทำ Record High ขณะที่มาตรการทรัมป์ดูไม่ราบรื่นเท่าที่ควร รวมทั้งมีการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1/60 ในช่วง Preview ด้วย อย่างไรก็ดี การมีวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ อาจทำให้ตลาดแกว่งได้ เพราะนักลงทุนบางกลุ่มไม่อยากทิ้งหุ้นไว้ในพอร์ตช่วงวันหยุด ซึ่งหากใช้การวิเคราะห์เทคนิคเข้ามาช่วย การควรเลือกซื้อ/ถือหุ้นเมื่อ SET Index ไม่หลุด 1570 จุด ต่ำกว่าแนวนี้ควรระวังการถอยลง
สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว เน้นซื้อสะสมจังหวะราคาอ่อนตัว โดยหุ้นแนะนำเดือนเม.ย.นี้ ประกอบด้วย BCP, BEM, TCAP, TU และ Dark Horse เป็น UTP


# สรุป Theme ลงทุนในหุ้นเด่น
* BCP : บริษัทมีธุรกิจที่กระจายความเสี่ยงดี มีทั้งโรงกลั่น ธุรกิจค้าปลีก และโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกจะทำกำไรเข้ามาเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ฐานะการเงินดี มี Valuation ไม่แพง ราคาพื้นฐาน 39 บาท
* BEM : สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายผ่านครม.แล้วและได้ BOI ด้วย สัมปทานสายสีน้ำเงินหลักขยายอายุสัมปทานไปถึงปี 2593 คาดกำไรปี 60-61 เติบโต 33%/36% เพราะรับรู้สายสีม่วง & ทางด่วนส่วนขยายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกเต็มปี เดือนส.ค.60 ส่วนเชื่อมเตาปูน-บางซื่อแล้วเสร็จ ทำให้ผู้ใช้บริการจะเพิ่มขึ้น ส่วนกำไรปี 63 จะโตจากสีน้ำเงินส่วนขยาย ให้ราคาพื้นฐาน 8.6 บาท
* TCAP : มีการเติบโตที่ดีในปี 60 จากสินเชื่อขยายตัวดีขึ้น, NPL ทยอยลดลงต่อเนื่อง และอัตราภาษีจ่ายต่ำ (ใช้ผลขาดทุนจากชำระบัญชี SCIB มาลดภาษี) ด้าน P/BV ก็ต่ำที่ 0.9 เท่า และจ่ายปันผลดี Yield ปี 60 กว่า 4% ราคาพื้นฐาน 53 บาท
* TU : ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว มาร์จิ้นทั้งทูน่าและแซลมอนมีแนวโน้มดีขึ้นหลังเจรจากับลูกค้าเพื่อทยอยปรับขึ้นราคา (ธุรกิจแซลมอนถึงจุดคุ้มทุนแล้วใน 4Q59) คาดกำไรปี 60 จะเติบโต 29% หลังอ่อนลง 3% ในปี 59 ราคาพื้นฐาน 25 บาท
* UTP : บริษัทมีการขยายกำลังการผลิต และเครื่องจักรใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทำให้รักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงไว้ได้แม้ว่าราคาวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้น คาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 98% และขยายตัวต่อ 22% ในปี 2561 ให้ราคาพื้นฐาน 8.70 บาท

ไทย : อัตราเงินเฟ้อไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 1.25%...เร่งตัวขึ้นแต่ไม่ได้มาก
# ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมี.ค. +0.76%YoY (-0.46%MoM) ทำให้เงินเฟ้อไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 1.25% ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานมี.ค. +0.62%YoY (+0.04%MoM) ส่งผลให้เงินเฟ้อพื้นฐานไตรมาส 1/60 เท่ากับ 0.66% ทางกระทรวงพาณิชย์ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อปี 60 เป็น 1.5-2.2% (เดิม 1.5-2.0%) สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ 3-4% การทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่ม 1.9 แสนล้านบาท และการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่จะเริ่มปีนี้ รายได้ภาคเกษตรเพิ่มขึ้น ส่งออกฟื้นตัวดีขึ้น
# ความเห็นทีมกลยุทธ์ Retail Research : อัตราเงินเฟ้อของไทยเร่งตัวขึ้น แต่ไม่มาก ทำให้คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะยังอยู่ที่ 1.50% ไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งแล้วทางการไทยค่อยพิจารณาเรื่องปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเร็วสุดน่าจะเป็นปลายปี 60

+ ไทย : ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจสูงสุดในรอบ 2 ปี
# ธปท.เปิดเผยดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจเดือนมี.ค.ว่าเพิ่มเป็น 52.6 จาก 49.8 ซึ่งสูงสุดในรอบ 24 เดือน โดยหลายอุตสาหกรรมมีการผลิตดีขึ้น เช่น กระดาษ เครื่องจักรอุปกรณ์ อิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเร่งผลิตก่อนหยุดยาวช่วงสงกรานต์ด้วย แต่เมื่อนำเรื่องปัจจัยฤดูกาลออก ดัชนีเดือนมี.ค.ก็เพิ่มเป็น 51.0

ไทย : กระทรวงพาณิชย์จะหารือกับผู้ส่งออกรับมือสหรัฐตรวจสอบการขาดดุลการค้าในสัปดาห์นี้
# กระทรวงพาณิชย์จะเชิญผู้ส่งออกหารือกันในสัปดาห์นี้ เกี่ยวกับที่ปธน.ทรัมป์ออกคำสั่งพิเศษให้ตรวจสอบการขาดดุลการค้าสหรัฐกับ 16 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงไทยด้วย ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐอันดับที่ 11
# ทางกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบในระยะยาวได้ โดยสินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่เป็นขั้นกลาง สำหรับจุดอ่อนของไทยที่สหรัฐอาจถูกหยิบยกมากีดกันการค้ากับไทย คือ 1. การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา 2. การใช้แรงงานผิดกฎหมายในสินค้าประมง อ้อย สิ่งทอ และ 3. การได้รับ GSP ในสินค้าบางรายการที่อาจถูกตัดออก
# ในเบื้องต้นเราคาดว่าผลกระทบจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐต่อไทยโดยตรงจะไม่ได้รุนแรงนัก แต่ที่สิ่งน่ากังวลคือการกีดกันการค้ากับจีนที่จะกระทบต่อเนื่องมายังไทยโดยอ้อม เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าไปยังจีนเพื่อส่งออกต่อไปสหรัฐ และหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง การผลิตในจีนมีปัญหา ก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปจีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียด้วย

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected] 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!