- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 28 March 2017 19:54
- Hits: 3067
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ผันผวน? แม้ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ แต่คาดยังถูกกดดันบ้างจากความไม่แน่นอนในการดำเนินงานนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้มีความคาดหวังในเชิงบวกว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังเสียงสนับสนุนของพรรครีพับลิกันไม่เพียงพอ ทำให้ต้องยกเลิกร่างกฎหมาย “อเมริกันเฮลธ์แคร์” ที่จะนำมาใช้แทน “โอบามาแคร์” ไป ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าจะไม่สามารถผลักดันนโยบายอื่นๆ ตามที่หาเสียงไว้ เช่น การปฏิรูปภาษี การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ รวมถึงงบประมาณใช้จ่ายในโครงการสาธารณูปโภค ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.0 ล้านล้านUSD ตลอดระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้คาดยังได้รับปัจจัยกดดันบ้างจากประเด็นการพิจารณาออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) โดยจะประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป (EU) ในวันพรุ่งนี้ (29/3/60) และส่งผลให้อังกฤษสามารถเริ่มต้นกระบวนการเจรจา คาดใช้ระยะเวลา 2 ปี เพื่อแยกตัวออกจาก EU อย่างเป็นทางการ
ขณะที่แนะติดตามการเลือกตั้งในยุโรป โดยเฉพาะในฝรั่งเศส (เม.ย. – พ.ค.) ซึ่งคาด Sentiment เป็นบวก หลังผลการเลือกตั้งในเนเธอร์แลนด์ และผลสำรวจล่าสุดในช่วงการหาเสียงในฝรั่งเศส คาดช่วยลดความกังวลโดยเฉพาะการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง ที่อาจเป็นการจุดกระแสความนิยมต่อนโยบายขวาจัด
อย่างไรก็ตามภายใต้ความไม่แน่นอนข้างต้น โดยเฉพาะการดำเนินงานนโยบายของปธน.สหรัฐฯ คาดกลับเป็น Sentiment บวกต่อประเด็นในประเทศ หลัง Fund Flow ไหลกลับเข้ามาต่อเนื่องใน Emerging Marketภูมิภาค รวมถึงไทย ที่มียอดซื้อสุทธิต่างชาติกว่า 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้แนะติดตาม (1) Window Dressing ซึ่งจะมีการปิดงบไตรมาส 1 ในวันที่ 31/3/60 และ (2) การประชุม กนง. ในวันพุธนี้ (29/3/60) คาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50%
ขณะที่คาดยังถูกกดดันบ้างจากความไม่แน่นอนในการเปิดประมูลของภาครัฐ ที่คาดยังมีผลต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะประเด็นการยกเลิกทีโออาร์รถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง คาดทำให้การประมูลล่าช้าไป 5 – 6 เดือน
SET SET50 SET100
1,570.50 -3.01 995.43 -2.82 2,239.48 -6.21
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-/+) ตลาดต่างประเทศ DJIA -45.74, NASDAQ +11.64, S&P -2.39, FTSE -43.32, CAC -3.47 และ DAX -68.20
โดย DJIA ปรับลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ 8 หลังปธน.ทรัมป์ ไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพ "อเมริกันเฮลธ์แคร์" ให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจาก ไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรครีพับลิกันได้ แม้พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งสองสภาของสภาคองเกรส ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวครั้งแรกในสภานิติบัญญัติของปธน.ทรัมป์ นับแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 20/1/60 ทำให้เกิดความกังวลว่าจะสามารถผลักดันนโยบายอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปภาษี และการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการสาธารณูปโภค ตามที่รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
ขณะที่จับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟด ในการประชุม "The National Community Reinvestment Coalition Annual Conference" วันนี้ (28/3/60) เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปในปีนี้
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยหนุนบ้าง ดัชนีความเชื่อมั่น
ภาคธุรกิจของเยอรมนี – มี.ค. อยู่ที่ 112.3 เพิ่มขึ้นจาก 111.0 เมื่อก.พ. และดีกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 111.1
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
17.32 1.93 3.14
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 30,964.38
สถาบัน -1,678.42
บัญชีหลักทรัพย์ 160.55
ต่างประเทศ 1,672.32
ในประเทศ -154.45
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ TKN เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากการเปิดขายโครงการในปี’60
ที่โดดเด่น เช่น ANAN และ SPALI เป็นต้น
(6) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐและเอกชน
ที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ และ UNIQ เป็นต้น
(7) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น และ BANPU ปรับตัวขึ้นตามราคาถ่านหิน
(8) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(9) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจขนส่งทางเรือ เช่น PSL คาดได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากการปรับตัวของอุตสาหกรรมเรือเทกอง
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.03 อยู่ที่ 2.37%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.46 อยู่ที่ 12.50
หุ้นแนะนำ : VNG
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน พ.ค. -US$0.24 อยู่ที่US$47.73 ต่อบาร์เรล หลังไม่มั่นใจว่ากลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะสามารถบรรลุข้อตกลงขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตเกินกว่าเดือนมิ.ย.ได้หรือไม่?
และยังคงมีความกังวลต่อภาวะอุปทานส่วนเกิน หลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ล่าสุด (24/3/60) ยังเพิ่มต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 9 อีก 21 แท่น อยู่ที่ 652 แท่น และเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับแต่วันที่ 20/3/60
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. +US$7.2 อยู่ที่US$1,255.7 ต่อออนซ์ ภายใต้ความล้มเหลวในการผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพของปธน. ทรัมป์ ส่งผลให้เข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และยังได้รับปัจจัยหนุนจากเงินสหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +1,672 ล้านบาท สะสม YTD -5,921 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 28 - 31 มี.ค. 2560
28/3/60 สหรัฐฯ เปิดเผย
ราคาบ้านเดือนม.ค.
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนมี.ค.
29/3/60 ประชุม กนง. (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ล่าสุด 1.50%)
สหรัฐฯ เปิดเผย
ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.พ.
สต็อกน้ำมัน
30/3/60 สหรัฐฯ เปิดเผย
ประมาณการครั้งสุดท้ายของ GDP – 4Q/59
ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
31/3/60 สหรัฐฯ เปิดเผย
รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนก.พ.
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนมี.ค.
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงท้ายเดือนมี.ค.
หุ้นแนะนำ
VNG : ราคาเป้าหมาย (ปี 2560) 18.00 บาท
คาด 1Q/60 ชะลอตัว qoq จาก (1) น้ำท่วมภาคใต้ส่งผลต่อเส้นทางการขนส่งจากโรงงานสุราษฎร์ธานี ไปยังท่าเรือน้ำลึกทั้งภูเก็ต และแหลมฉบัง เพื่อส่งออก (2) คำสั่งซื้อที่ชะลอตัวในช่วงตรุษจีน (3) ปิดโรงงานเพื่อซ่อมบำรุง และ (4) ต้นทุนเศษไม้ที่คาดเพิ่มขึ้น 20 – 30% จากภาวะน้ำท่วม คาดส่งผลกระทบต่อ Margin เฉลี่ย ประมาณ 1 – 2% แต่คาดเป็นเพียงระยะสั้น และคาดต้นทุนเศษไม้กลับสู่ระดับปกติหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลง
แต่คาด 2Q/60 แนวโน้มดีขึ้น หลังคำสั่งซื้อ และการส่งมอบผลิตภัณฑ์กลับเป็นปกติ (บางส่วนเลื่อนส่งมอบจาก 1Q/60 เป็น 2Q/60) รวมถึงความสามารถทำกำไรที่คาดกลับมาในระดับเฉลี่ย 28 – 29% จากต้นทุนเศษไม้ยางที่ลดลง qoq และคาดทั้งปี’60 ผลการดำเนินงานมีโอกาสทำ New จากปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังรับรู้กำลังการผลิตเต็มที่จากการปรับ Line การผลิต PB เป็น MDF และได้รับประโยชน์จากราคา PB ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ VNG จะมีกำลังการผลิต PB เพิ่มขึ้น 0.3 ล้านลบม./ปี ช่วง 2Q/60 รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในช่วงที่ผ่านมา คาดช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลง
ประเมินราคาเป้าหมายปี’60 ที่ 18.00 บาท
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร .02-684-8788