- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 21 March 2017 18:05
- Hits: 2389
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ขยับกรอบแคบ? โดยเราประเมินว่า ตลาดกำลังเข้าสู่โหมดของความระมัดระวังมากขึ้น หลังจากช่วงก่อนนี้ที่คลายกังวลกันไปแล้ว หลังจาก FED ประกาศขึ้นดอกเบี้ย แต่ให้สัญญานว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยถัดจากนี้จะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์ประเด็นต่างประเทศ อาจเป็นเหตุให้ตลาดเริ่มกังวลกันเริ่มตั้งประเด็น
การออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ที่จะเริ่มกระบวนการอย่างเป็นทางการ ปลาย มี.ค. นี้ และประเด็นการค้าโลก ที่เริ่มมีแนวโน้มว่า สหรัฐฯ จะเป็นอุปสรรคต่อระบบการค้าเสรีของโลก สะท้อนจากการประชุม G-20 ที่ไม่สามารถตกลงกันได้ตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุดที่ประชุมยอมตามที่รัฐบาลสหรัฐร้องขอ
ด้านประเด็นในประเทศยังไม่มีประเด็นเพิ่มเติมที่มีสาระสำคัญ ยกเว้นประเด็น การยกเลิกทีโออาร์รถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง เพื่อเสนอแนวทางที่เปิดกว้างให้มีการแข่งขันมากขึ้น
ขณะที่แนะติดตาม (1) การเลือกตั้งในยุโรป โดยเฉพาะในฝรั่งเศส (เม.ย. – พ.ค.) ซึ่งคาด Sentiment เป็นบวก หลังผลการเลือกตั้งในเนเธอร์แลนด์ช่วยลดความกังวลโดยเฉพาะการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง ที่อาจเป็นการจุดกระแสความนิยมต่อนโยบายขวาจัด
และ (2) ค่าเงินสหรัฐฯ ภายหลังกลับมาอ่อนค่าลง ซึ่งทำให้ราคาสินค้า Commodity ที่มีการซื้อขายในรูปเงินสหรัฐฯ มีราคาปรับขึ้น และคาดน่าจะส่งผลดีต่อเงินทุน มีโอกาสไหลเข้า Emerging Market รวมถึงไทย และแนะติดตามหุ้นในกลุ่ม Blue Chip ที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ
ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดดีขึ้นตามลำดับ ภายใต้ (1) การลงทุนของภาครัฐ ที่ได้แรงขับจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (2) รายได้เกษตรกรที่คาดปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และสถานการณ์ภัยแล้งที่ผ่อนคลายลง และ (3) การส่งออกปรับตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น โดย กกร. คาดส่งออกเติบโต 1.0 – 3.0% รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า
และ (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวไทย ซึ่ง ททท. คาดว่าทั้งปี’ 60 อยู่ที่ 34 - 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 32.59 ล้านคน เมื่อปี’59 พร้อมคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 10% จาก 1.64 ล้านบาทเมื่อปี’59
SET SET50 SET100
1,563.54 +2.56 989.53 +1.09 2,229.02 +2.29
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-/+) ตลาดต่างประเทศ DJIA -8.76, NASDAQ +0.53, S&P -4.78, FTSE +4.85, CAC -17.08 และ DAX -42.34
ตลาดหุ้นต่างประเทศปิดไร้ทิศทาง เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลต่อความไม่ชัดเจนในข้อเสนอปฏิรูปภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบของทรัมป์ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปิดลบ ท่ามกลางข้อสงสัยว่าทางรัฐบาลจะสามารถบังคับใช้มาตรการผ่อนคลายกฎระเบียบภาคธนาคารได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้หรือไม่ ขณะที่ทางฟากยุโรปนักลงทุนเริ่มมีความถึงความกังวลต่อกรณี BREXIT ที่จะเริ่มอย่างเป็นทางการในช่วงปลาย มี.ค. นี้
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. -US$0.56 อยู่ที่US$48.22 ต่อบาร์เรล จากความกังวลต่อแนวโน้มอุปทานที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ หลังข้อมูลจาก เบเกอร์ ฮิวจ์ส บริษัทผู้ให้บริการทางพลังงาน เผยว่าว่า ในรอบสัปดาห์ที่แล้ว มีแท่นขุดเจาะน้ำมันเดินเครื่องเพิ่มเติม 14 แท่นในสหรัฐฯ เป็น 631 แท่น บ่งชี้แนวโน้มกำลังผลิตที่สูงขึ้นในอเมริกา
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. +US$4.75 อยู่ที่US$1,233.15 ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยเป็นผลจากดอลลาร์สหรัฐ ที่อ่อนตัวในช่วงนี้ ประกอบกับความกังวลต่อระบบการเงินโลกที่เพิ่มขึ้นจากกรณี BREXIT ที่จะเริ่มกระบวนการอย่างเป็นทางการในช่วง ปลาย มี.ค. นี้
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +736 ล้านบาท สะสม YTD -11,139 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท)
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. +US$4.75 อยู่ที่US$1,233.15 ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยเป็นผลจากดอลลาร์สหรัฐ ที่อ่อนตัวในช่วงนี้ ประกอบกับความกังวลต่อระบบการเงินโลกที่เพิ่มขึ้นจากกรณี BREXIT ที่จะเริ่มกระบวนการอย่างเป็นทางการในช่วง ปลาย มี.ค. นี้
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
17.25 1.92 3.04
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 35,790.37
สถาบัน 539.94
บัญชีหลักทรัพย์ 295.76
ต่างประเทศ 735.92
ในประเทศ -1,571.61
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ TKN เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากการเปิดขายโครงการในปี’60 ที่โดดเด่น เช่น ANAN และ SPALI เป็นต้น
(6) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐและเอกชน ที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ และ UNIQ เป็นต้น
(7) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น และ BANPU ปรับตัวขึ้นตามราคาถ่านหิน
(8) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(9) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจขนส่งทางเรือ เช่น PSL คาดได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากการปรับตัวของอุตสาหกรรมเรือเทกอง
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.0285 อยู่ที่ 2.472% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.06 อยู่ที่ 11.34
หุ้นแนะนำ : BR
นักวิเคราะห์ : พลเทพ วงษ์นาค โทร .02-684-8796