- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 20 March 2017 18:09
- Hits: 4719
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ซื้อ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1550"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ROJNA (จาก Fully Valued เป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวันศุกร์ต่างชาติพลิกกลับเป็นซื้อสุทธิ 1.6 พันล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นไทยปิด +3.93 จุดที่ 1560.98 การซื้อขายไม่ได้คึกคักมาก นักลงทุนรอดูปัจจัยใหม่ ปัจจัยสำคัญอื่นในช่วงนี้ ได้แก่
/- ที่ประชุม G20 เมื่อสุดสัปดาห์มีจุดยืนร่วมกันเรื่องไม่ลดค่าเงินเพื่อการแข่งขัน และผลักดันกฎระเบียบภาคธนาคาร (Basel III) แต่เรื่องการกีดกันการค้ายังคลุมเครือ ส่วนหนึ่งเพราะไม่แน่ใจมาตรการทรัมป์
+ สหรัฐ : ความเชี่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.แข็งแกร่งกว่าคาด การผลิตและเศรษฐกิจเดือนก.พ.เติบโตดี
ราคาน้ำมันดิบทรงตัว ซาอุฯส่งสัญญาณขยายเวลาการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมัน ขณะที่แท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐเพิ่มอีก 14 แท่นในสัปดาห์ก่อนเป็น 631 แท่น (ต่ำสุดอยู่ที่ 404 แท่น)
ดอกเบี้ยไทยอาจต้องขยับขึ้นตามดอกเบี้ยสหรัฐที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอีก 2-3 ครั้งในปีนี้...คาดกนง.จะพิจารณาเรื่องนี้ใน 2H60 เพื่อบริหารจัดการเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยน
+ BEM : คาดโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนขยายจะเข้าครม.ในเร็วๆนี้ และมีโอกาสได้บริหารเดินรถสายอื่นๆ เพิ่มอีกในอนาคต แนวโน้มผลประกอบการปี 60-61 เติบโตสดใสที่ 33% และ 37% (ปี 60 รับรู้รายได้บริหารสายสีม่วงเต็มปี) แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 8.20 บาท
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing เป็นระยะ
หุ้นกลยุทธ์พื้นฐานที่แนะนำวันนี้เป็น BEM
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดรวมเป็นบวกเล็กๆ แนวต้าน 1570-1580 ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบหรือต่ำกว่า 1550 ควร Wait & See หรือลดพอร์ตตาม
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ TISCO, JMT, BJC, BEM ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ BLA, TOP, PTTGC, TIPCO, PTL, IRPC, MEGA หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ TFG, BCH, TCAP, TPOLY หุ้นหลุด List เป็น PTTGC
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดอ่อนลงเล็กน้อย
ดัชนี DJIA วันศุกร์ปิดที่ 20,914.62 จุด ลดลง 19.93 จุด หรือ -0.10% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,901.00 จุด เพิ่มขึ้น0.24 จุด หรือ 0.00% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,378.25 จุด ลดลง 3.13 จุด หรือ -0.13% การซื้อขายซบเซาก่อนการประชุม G20 ซึ่งประเด็นสำคัญ คือ นโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐที่รุนแรงขึ้นภายใต้การนำของทรัปม์ ส่วนปัจจัยอื่นที่ติดตาม คือ ความคืบหน้าในการปฏิรูประบบภาษีของทรัมป์ การผ่านร่างกฎหมาย "อเมริกันเฮลธ์แคร์" ที่จะนำมาใช้แทนกฎหมายประกันสุขภาพ "Affordable Care Act " ของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และการเลือกตั้งในหลายประเทศในยุโรป
/- ที่ประชุม G20 ยังมีจุดยืนร่วมกันเรื่องไม่ลดค่าเงินเพื่อการแข่งขัน แต่เรื่องการกีดกันการค้ายังคลุมเครือ
แถลงการณ์ของกลุ่ม G20 ระบุว่าประเทศสมาชิกกำลังดำเนินการเพื่อส่งเสริมการค้าให้มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจประเทศ และยังย้ำถึงจุดยืนด้านอัตราแลกเปลี่ยนโดยระบุว่ากลุ่มสมาชิกจะงดเว้นการลดค่าเงินเพื่อการแข่งขัน ร่วมกันผลักด้านกฎระเบียบภาคธนาคาร (ซึ่งทำให้ความกังวลว่าสหรัฐจะถอนตัวจาก Basel III ลดลง) แต่ก็มีความคลุมเครือเรื่องการค้าโลกในอนาคตหลังกลุ่ม G20 ได้ถอดคำว่า "การต่อต้านการกีดกันทางการค้าทุกรูปแบบ" ออกจากแถลงการณ์ฉบับร่างสุดท้าย กลุ่ม G20 ประกอบด้วยอาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ตุรกี สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป
+ สหรัฐ : ความเชี่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.แข็งแกร่งกว่าคาด การผลิตและเศรษฐกิจเดือนก.พ.เติบโตดี
# ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐอยู่ที่ระดับ 97.6 ในเดือนมี.ค. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 97.0 และสูงกว่าระดับ 96.3 ของเดือนก.พ.
# การผลิตภาคอุตสาหกรรม +0.5% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน หลังจาก +0.5% เช่นกันในเดือนม.ค.เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของภาคเหมืองแร่ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคปรับตัวลง
# Conference Board เปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนก.พ.ว่า +0.6% หลังจาก +0.6% เช่นกันในเดือนม.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ +0.4%
สหรัฐ : รัฐบาลคาดการปฎิรูปภาษีจะเกิดขึ้นปลายฤดูใบใบผลิหลังปฎิรูประบบประกันสุขภาพเสร็จ
โฆษกทำเนียบขาวสหรัฐเปิดเผยว่า การปฏิรูประบบภาษีของสหรัฐจะเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิของปีนี้เป็นอย่างเร็ว หลังจากที่การปฏิรูประบบประกันสุขภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ทรัมป์ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสถึงประเด็นภาษีว่ารัฐบาลสหรัฐจะปรับลดภาษีสำหรับชนชั้นกลางและบริษัทต่างๆ
สัญญาน้ำมันดิบ : ปิดทรงตัวในวันศุกร์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่ม 3 เซนต์ ปิดที่ 48.78 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 2 เซนต์ ปิดที่ 51.76 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ซาอุฯส่งสัญญาณว่ากลุ่มโอเปกจะขยายเวลาปรับลดการผลิต (จากเดิมที่ตกลงกันว่ากลุ่มโอเปกจะลดการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน และกลุ่มนอกโอเปกลด 0.558 ล้านบาร์เรล/วันในระยะเวลา 6 เดือนสิ้นสุดกลางปีนี้) ด้านรัสเซียกล่าวว่าจะลดการผลิตให้มากขึ้น ส่วนเบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 14 แท่น สู่ระดับ 631 แท่น และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน
+ สัญญาทองคำ : ปรับขึ้นต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 3.1 ดอลลาร์ หรือ 0.25% ปิดที่ระดับ 1,230.20 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยหนุน คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนลงหลังจบการประชุม FOMC กลางมี.ค.ที่ผ่านมาและเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด
ปัจจัยในประเทศ :
ธุรกิจเตรียมรับมือดอกเบี้ยขาขึ้น
# อัตราดอกเบี้ยสหรัฐกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกปลายปี 58 ครั้งที่สองปลายปี 59 และครั้งที่สามเมื่อกลางเดือนมี.ค.60 ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate อยู่ที่ 1.00%
# ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปัจจุบันอยู่ที่ 1.50% ซึ่งมีช่วงห่างระหว่างดอกเบี้ยนโยบายไทยกับสหรัฐ 0.50% แคบลงจากเมื่อก่อนสิ้นปี 58 ที่ 1.25% และสหรัฐมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 2-3 ครั้ง ทำให้ช่วงห่างจะแคบลงไปเรื่อยๆ จึงคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจต้องขยับขึ้นในที่สุดเพื่อบริหารจัดการเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยคาดว่ากนง.น่าจะพิจารณาเรื่องนี้ในช่วง 2H60
# ภาคธุรกิจเตรียมตัวรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น หลายบริษัทขนาดใหญ่พิจารณาออกหุ้นกู้ระยะยาวเพื่อล็อคอัตราดอกเบี้ยต่ำไว้ ขณะเดียวกันผู้ลงทุนในตราสารหนี้ก็ควรจะลดอายุของตราสารหนี้ลง (ดอกเบี้ยขึ้น ราคาตราสารหนี้ระยะยาวตามราคาตลาดจะถูกปรับลดลง แต่ถ้าถือครองจนครบอายุก็ไม่ถูกกระทบจาก Mark to Maket Loss)
# สำหรับตลาดหุ้น โดยปกติแล้วดอกเบี้ยขาขึ้นจะไม่เป็นมิตรกับตลาดหุ้นเท่าใดนัก แต่ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากที่ปรับขึ้นแล้วก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า Dividend Yield เฉลี่ยของตลาดหุ้นที่ประมาณ 3% ก็คาดว่าจะกระทบไม่มาก ดังนั้นในช่วงปี 2560 ก็ยังสามารถลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ที่จ่ายปันผลสูงได้อยู่
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]