- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 14 March 2017 18:21
- Hits: 1519
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
คาดยังมีความผันผวน? ตามตลาดต่างประเทศที่ยังไร้ทิศทางมีทั้งบวก /ลบ หลักๆ อยู่ระหว่างรอการประชุมเฟด(14 – 15/3/60) ซึ่งคาดมีความเป็นไปได้สูงขึ้นที่เฟด จะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดหมาย โดยผลประชุมทราบเช้า พฤ 16/3/60 ตามเวลาไทย และหากผลประชุมเป็นไปตามที่ตลาดคาด แนะติดตามค่าเงินสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งคาดส่งผลกระทบต่อ (1) ราคาสินค้า Commodity ที่มีการซื้อขายในรูปเงินสหรัฐฯ มีราคาลดลง (2) เงินทุนไหลออก จาก Emerging Market รวมถึงไทย และส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่ม Blue Chip ที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ
ขณะที่ราคาน้ำมัน WTI ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง จากความกังวลภาวะอุปทานส่วนเกิน คาดยังเป็น Sentiment ลบต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน
รวมถึงการเลือกตั้งของหลายๆ ประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ตามลำดับ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองก็จะกดดันภาพรวมตลาดในระยะต่อไป
ทางด้านประเด็นในประเทศ คาด Sentiment เป็นบวกขึ้นมาบ้าง (1) โดยเฉพาะกลุ่ม Laeasing หลัง GL ส่งคำชี้แจงต่อตลาดฯ วานนี้ อย่างไรก็ตามการเข้าลงทุนยังต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง และ (2) Fund Flow หลังต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม YTD มียอดขายสุทธิสะสมของต่างชาติ 7,670 ล้านบาท (MTD ขายสุทธิสะสม 10,352 ล้านบาท) ขณะที่สถาบันในประเทศยังมีแรงซื้อสุทธิต่อเนื่อง
ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดดีขึ้นตามลำดับ ภายใต้ (1) การลงทุนของภาครัฐ ที่ได้แรงขับจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (2) รายได้เกษตรกรที่คาดปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และสถานการณ์ภัยแล้งที่ผ่อนคลายลง และ (3) การส่งออกปรับตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น โดย กกร. คาดส่งออกเติบโต 1.0 – 3.0% รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และ (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวไทย ซึ่ง ททท. คาดว่าทั้งปี’ 60 อยู่ที่ 34 - 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 32.59 ล้านคน เมื่อปี’59 พร้อมคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 10% จาก 1.64 ล้านบาทเมื่อปี’59
SET SET50 SET100
1,535.51 -4.40 975.37 +2.49 2,191.83 +1.41
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-/+) ตลาดต่างประเทศ DJIA -21.50, NASDAQ +14.06, S&P+0.87, FTSE +24.00, CAC +6.28 และ DAX+26.85
ภายใต้การซื้อขายที่เป็นไปอย่างซบเซา อยู่ระหว่างรอประชุมเฟด (เช้า พฤ. ตามเวลาไทย) ซึ่งคาดจะมีการพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ รวมถึงจับตาแถลงการณ์หลังการประชุมเฟด ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดต่อไปในปีนี้ด้วย
ขณะที่ CME Group เปิดเผยการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ พบว่า มีโอกาสสูงถึง 93% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ เพิ่มขึ้นจาก 91% ก่อนการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป อยู่ระหว่างติดตามการเลือกตั้งโดยเฉพาะเนเธอร์แลนด์ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15/3/60 ซึ่งผู้มีคะแนนนำ มีนโยบายต่อต้านการเปิดรับผู้อพยพและชาวมุสลิม รวมถึงจะจัดให้มีการลงประชามติว่าจะอยู่ หรือ ออกจาก EU – Nexit ซึ่งคาดอาจจุดกระแสความนิยมต่อนโยบายขวาจัดในการจัดเลือกตั้งในฝรั่งเศสและเยอรมันต่อไป
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. -US$0.09 อยู่ที่US$48.40ต่อบาร์เรล หลังเบเกอร์ ฮิวจ์ ระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งาน ล่าสุด เพิ่มขึ้น 8 แท่น อยู่ที่ 617 แท่น ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน และสะท้อนว่าสหรัฐฯ เดินหน้าเพิ่มการผลิตน้ำมันอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับกลุ่มโอเปก ที่กำลังเดินหน้าลดการผลิตตามข้อตกลง
ขณะที่ คณะกรรมการตรวจสอบความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิต รวมถึงรัสเซีย จะพบปะกันในการประชุมที่คูเวตในวันที่ 25/3/60 ก่อนที่จะมีการประชุมกลุ่มโอเปก ในเดือนพ.ค.
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.92 1.88 3.09
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 35,930.85
สถาบัน 949.21
บัญชีหลักทรัพย์ -532.85
ต่างประเทศ 239.15
ในประเทศ -655.51
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ TKN เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากการเปิดขายโครงการในปี’60ที่โดดเด่น เช่น ANAN และ SPALI เป็นต้น
(6) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐและเอกชนที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ และ UNIQ เป็นต้น
(7) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น และ BANPU ปรับตัวขึ้นตามราคาถ่านหิน
(8) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(9) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจขนส่งทางเรือ เช่น PSL คาดได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากการปรับตัวของอุตสาหกรรมเรือเทกอง ขณะที่ดัชนีค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลัง YTD ลงไประดับต่ำสุดที่ 683 เมื่อกลางก.พ.’60 ล่าสุดอยู่ที่ 1,099 หรือเพิ่มขึ้น ประมาณ 61%
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.03 อยู่ที่ 2.61%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.31 อยู่ที่ 11.35
หุ้นแนะนำ : SPRC
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร .02-684-8788