- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 10 March 2017 17:40
- Hits: 3109
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook
ไม่มีปัจจัยหนุนตลาด
คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวออกด้านข้างต่อก่อนตัวเลขการว่าจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐคืนนี้ที่ตลาดคาดว่าจะออกมาแข็งแกร่ง ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความน่าจะเป็นของการที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้าและอีกหลายครั้งในปีนี้ หุ้นพลังงานยังถูกกดดันต่อเนื่อง เมื่อคืนราคาน้ำมันร่วงลงไปต่ำกว่า 50 ดอลลาร์แล้ว ปัจจัยบวกชัดมีแต่คำกล่าวของมาริโอ ดรากี ประธาน ECB ที่ว่าไม่มีความจำเป็นด่วนอีกต่อไปที่จะต้องดำเนินการพยุงเศรษฐกิจในยุโรปที่กำลังไปได้ดี ภายในประเทศ ธปท.มองว่า Fed ขึ้นดอกเบี้ยดีต่อเศรษฐกิจไทย โดยทำให้บาทอ่อนเป็นบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ การโยนหินตามทางของนายกฯ ประยุทธ์ ค่อนข้างแปลกในภาวะที่รัฐบาลมีความเข้มแข็งทางการคลังและนโยบายขยายตัวด้านการคลังในปัจจุบัน
หุ้นเด่นวันนี้: KTB (ราคาปิด 19.90 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 22.00 บาท)
บมจ. ธนาคารกรุงไทย เป็นหุ้นเด่นในวันนี้เนื่องจากสินเชื่อที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัว มูลค่าหุ้นที่ถูก และอัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าสนใจ ถึงแม้ในปี 59 สินเชื่อของ KTB จะหดตัวถึง 6.1% ธนาคารตั้งเป้าว่าสินเชื่อในปีนี้จะกลับมาเติบโต 4-6% หนุนโดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐมูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านบาท โดยธนาคารคาดว่าปัจจัยดังกล่าวน่าจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ของสินเชื่อในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่รวมถึง SME เราค่อนข้างมีมุมมองบวกกว่า KTB โดยคาดการณ์สินเชื่อว่าจะเติบโต 7% นอกเหนือจากปัจจัยเหล่านี้ เราคาดธนาคารจะสามารถรักษาอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NlM) ในระดับสูงที่ 3.3% หนุนโดยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำและอัตราให้กู้ยืมสินเชื่อที่อาจสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการสินเชื่อที่แข็งแกร่งขึ้น ในแง่ของคุณภาพสินทรัพย์ เราคาดอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ของบริษัทจะอยู่ที่ 3.8% ลดลงจาก 3.9% ในปี 59 และคาดอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage ratio) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 128.8% จาก 121.6% ในปี 59 หนุนโดยสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เราคาดกำไรสุทธิจะเติบโต 8.7% ในปี 60 ก่อนจะเติบโตเร็วขึ้นที่ 12.8% ในปี 61 ปัจจุบันหุ้น KTB ยังซื้อขายกันในมูลค่าทางบัญชีที่ถูกที่ 0.9 เท่า เราคาดธนาคารจะประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 59 ที่ 0.92 บาทต่อหุ้น อิงจากอัตราการจ่ายปันผลที่ 40% ซึ่งจะให้อัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าสนใจที่ 4.6% ต่อปี Price Pattern ของ KTB มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal โดยเมื่อพิจารณา Price Pattern ของ KTB ที่สามารถ Break ด้วยการปิดตลาดเหนือเป้าหมายเบื้องต้นที่ 19.80 บาทไปได้แล้ว มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 21.20 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 22.60 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ KTB มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 19.50 บาท (Resistance: 20.00, 20.10, 20.40; Support: 19.80, 19.70, 19.40)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ:
นายกฯ เกิดไอเดียขึ้นแวตเป็น 8% แต่ประจินปฎิเสธ นายกรัฐมนตรีประยุทธได้กล่าวกว้างๆว่ามีความคิดว่าอาจจะเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1% จากปัจจุบัน 7% เป็น 8% เพื่อเพิ่มรายได้ภาษีอีก 1 แสน ลบ. เพื่อเป็นเงินทุนให้แก่โครงการสาธารณะต่างๆ แต่ยังยืนยันว่าฐานะทางการคลังยังแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี รองนายกฯ ประจินก็ระบุว่ารัฐบาลยังไม่เคยคุยกันเรื่องการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (The Nation/lnfoQuest)ความเห็น: เราเชื่อว่ารัฐบาลจะยังไม่รัดเข็มขัดนโยบายการคลังเร็วๆนี้ขณะที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว ขณะที่ฐานะการคลังก็ยังแข็งแกร่งจึงไม่จำเป็นจะต้องขึ้นภาษี
แบงค์ชาติชี้ไม่กดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ ตามรองผู้ว่าการฯ ระบุ แม้ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยสัปดาห์หน้าเลยซึ่งเร็วกว่าคาด แต่ก็จะไม่กดดัน นโยบายการเงินของ ธปท. มากนักเพราะจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าซึ่งจะหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย (Bangkok Post)
ยื่น Filing สำหรับการระดมทุนใน TFF นาย อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว. กระทรวงการคลัง คาดว่าภายใน 2-3 เดือนนี้ จะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) ให้กับประชาชนทั่วไปได้ หลังกระทรวงฯ ได้ทำการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ไปที่ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเบื้องต้นจะเป็นการระดมทุนเพื่อลงทุนใน 3 โครงการหลัก ได้แก่ มอเตอร์เวย์สาย 7 มอเตอร์เวย์สาย 9 และทางด่วนพระรามสาม - ดาวคะนอง (The Nation)
ต่างประเทศ:
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 5 ปี ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี เนื่องจากมีการเทขายพันธบัตรในช่วงบ่ายของการซื้อขายเมื่อวานนี้เนื่องจากมีความแน่นอนมากขึ้นว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปี ปรับตัวขึ้น 4 bps สู่ระดับ 2.126% หลังจากแตะระดับ 2.135% ซึ่งเคยเกิดขึ้นครั้งล่าสุดในเดือนเม.ย. 54 (Reuters)
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลักในวันพฤหัส ในขณะที่เงินยูโรแข็งค่าหลัง นายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารกลางยุโรป ECB ให้ความเห็นว่ามีความจำเป็นน้อยลงที่จะพยุงตลาดเงินผ่านนโยบายผ่อนคลายทางการเงินพิเศษ เงินยูโรแข็งค่า 0.45% สู่ระดับ 1.0588 ดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลงต่ำสุดในรอบวันที่ 101.70 จากการแถลงข่าวของประธาน ECB และปิดลดลง 0.25%ที่ระดับ 101.820 (Reuters)
คำสั่งสุดท้ายของนายกรัฐมนตรีอังกฤษก่อนเริ่มกระบวนการเจรจา นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเข้าร่วมประชุมอียูซัมมิตเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวานนี้ก่อนดำเนินกระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรปโดยเน้นย้ำว่าอังกฤษต้องการมีสายสัมพันธ์ทางการค้าใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความร่วมมือทางด้านความมั่นคง เพิ่มอำนาจควบคุมในการเข้าประเทศ และฟื้นฟูอธิปไตยของกฎหมายอังกฤษ สหภาพยุโรปได้คัดค้านความต้องการดังกล่าวและนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้รับทราบแล้ว ทั้งนี้ นางเทเรซา เมย์หวังที่จะประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรปภายในสิ้นเดือนนี้เพื่อให้อังกฤษเริ่มต้นกระบวนการเจรจาเป็นเวลา 2 ปี สำหรับการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Reuters)
สหรัฐ:
ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อวันพฤหัส โดยได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานดีดกลับก่อนการประกาศตัวเลขการจ้างงานรายเดือนของสหรัฐในวันศุกร์และการประชุม FOMC ในสัปดาห์หน้า ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กลดความร้อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากนักลงทุนเป็นกังวลว่าหุ้นมีราคาแพงกว่าความเป็นจริงและมีความเป็นไปได้ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบ่อยครั้งขึ้น (Reuters)
จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 44 ปี แต่ตลาดแรงงานยังคงตึงตัวต่อแม้จะมีการปรับลดตำแหน่งงานอย่างมากในเดือนก.พ. จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการเพิ่มขึ้น 20,000 ราย สู่ระดับ 243,000 ราย ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 มี.ค. ส่วนจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการในสัปดาห์ก่อนหน้าซึ่งยังไม่ได้ปรับปรุงตัวเลขอยู่ที่ 223,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่เดือนมี.ค. 2516 จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานในปัจจุบันซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่า 300,000 รายแสดงว่าตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่งได้อยู่ในระดับดังกล่าวติดต่อกัน 105 สัปดาห์ ยาวนานที่สุดนับแต่ปี 2513 ส่วนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่จะประกาศในวันศุกร์นี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่งในภาครัฐและเอกชนในเดือนก.พ. (Reuters)
ยุโรป:
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพฤหัสบดีปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย หนุนโดยหุ้นกลุ่มธนาคารหลังจากที่ ECB ออกมาให้มุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ซึ่งชดเชยกับการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มน้ำมัน (Reuters)
มุมมองบวกจาก ECB โดยยืนยันการใช้มาตรการกระตุ้นต่างๆ ต่อไปแต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติมมาตรการอื่นๆ ไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ Mario Draghi ประธาน ECB เผย ECB จะใช้มาตรการกระตุ้นอย่างน้อยไปจนถึงสิ้นปีนี้ และจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันไว้ (Reuters)
สก็อตแลนด์จะลงประชามติครั้งที่สองในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2561 ซึ่งจะเป็นช่วงก่อนหน้าไม่กี่เดือนที่อังกฤษจะออกจากยูโรโซน อ้างอิงจากคำกล่าวของ Nicola Sturgeon นายกฯ สก็อตแลนด์ ทั้งนี้โพลล์สำรวจครั้งที่สองในรอบเดือนระบุถึงโอกาสที่มากขึ้นในการแยกตัวออกมา (Reuters)
เอเชีย:
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายชินโซะ อาเบะ จะเข้าร่วมการหารือด้านเศรษฐกิจแบบทวิภาคีในเดือนหน้า พวกเขาจะหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เช่น นโยบายเศรษฐกิจมหภาค การค้าและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นมีเป้าหมายที่จะมุ่งเน้นการอภิปรายเกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการเพิ่มการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ง่ายกว่าประเด็นอื่น ๆ ที่เป็นที่ถกเถียงกันมาก เช่นการค้าหรือการเกษตร (Reuters)
ตลาดการเงินกำลังรอการแถลงข่าวในเช้าวันศุกร์ โดยผู้ว่าการธนาคารกลางจีนและหัวหน้าหน่วยงานกำกับดูแลด้านเงินตราต่างประเทศสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการเงิน เงินหยวน เงินสำรองเงินตราต่างประเทศ เงินทุนไหลเข้าและการปฏิรูปทางการเงิน (Reuters)
สินค้าโภคภัณฑ์:
ราคาน้ำมันร่วงเกือบ 3% ต่อเนื่องจากวันก่อนที่ดิ่งไปทำให้ราคาน้ำมันต่ำสุดในรอบปีนี้เพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐทาให้กลัวกันว่าการร่วมการลดกำลังผลิตของ OPEC จะลดอุปทานล้นเกินได้จริงหรือไม่ Brent ลบ 1.46 ดอลลาร์สหรัฐ (-2.75%) สู่ 51.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐลบ 2.8% สู่ 48.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลหลังแตะจุดต่ำสุดของวันที่ 48.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ต่ำสุดตั้งแต่ OPEC ประกาศลดกำลังผลิต (Reuters)
ราคาทองลดลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 5 สัปดาห์ ในวันพฤหัส เพราะนักลงทุนค่อนข้างมั่นใจว่าสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้ ทองคำตลาดจรลดลง 0.3% สู่ 1,203.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก่อนหน้านี้ร่วงไปต่ำสุดนับแต่ 1 ก.พ. ที่ 1,202.70 ดอลลาร์ ทองคำล่วงหน้าสหรัฐอ่อนลง 0.5% ปิดที่ 1,203.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)
Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) TeI: 02 680 5041
Mr. Krit SuwanpibuI (No.17968) TeI: 02 680 5090
Mrs. VajiraIux SangIerdsiIIapachai (No. 17385) TeI: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) TeI: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) TeI: 02 680 5094
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) TeI: 02 680 5041
Mr. Krit SuwanpibuI (No.17968) TeI: 02 680 5090
Mrs. VajiraIux SangIerdsiIIapachai (No. 17385) TeI: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) TeI: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) TeI: 02 680 5094