- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 09 March 2017 17:34
- Hits: 4057
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
เลือกซื้อหุ้นดีจังหวะพักฐาน
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวนมากในวัน โดยลงไปต่ำสุด 1534.85 (-15.02 จุด) แล้วดีดกลับขึ้นมาปิดระดับเกือบสูงสุดของวันที่ระดับใกล้เคียงกับวันก่อนหน้า แรงซื้อดึงตลาดกลับอยู่ในกลุ่มน้ำมัน & โรงกลั่น และ SCC นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อ 835 ล้านบาท ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือซื้อสุทธิ ปัจจัยสำคัญในช่วงนี้ ได้แก่
• ตลาดติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ของสหรัฐที่จะออกมาศุกร์นี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะจ้างเพิ่ม 1.8-1.9 แสนตำแหน่ง และอัตราว่างงานอยู่ที่ 4.7%…ถ้าตัวเลขจ้างงานฯไม่ได้ต่ำกว่าที่คาดไว้อย่างมาก เชื่อว่าโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยกลางมี.ค.จะไม่เปลี่ยนแปลง
+ TU : บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ ฐานการผลิตและลูกค้า ส่วนในระยะสั้นคือปี 60 คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นจากปี 59 หลังจากขยับราคาขายทูน่าและแซลมอนได้ตามต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้มาร์จิ้นเพิ่มจาก 14.8% เป็น 15+% ได้ ส่งผลให้กำไรปีนี้จะเติบโตได้กว่า 20% นอกจากนั้น TU ยังได้ประโยชน์ถ้าทรัมป์ลดภาษีธุรกิจที่สหรัฐด้วย แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 25 บาท
+ TASCO : กำไรปี 60 ฟื้นตัวหลังราคายางมะตอยในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 27% เป็น 280 US$/ตันในช่วงต้นปี 60 เพราะอุปสงค์ในจีนและอินโดนีเซียเพิ่ม สัดส่วนการขายในประเทศปีนี้จะเพิ่มขึ้นซึ่งช่วยหนุนมาร์จิ้นโดยรวม คาดกำไรปีนี้ +46% แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 35 บาท
• จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing เป็นระยะหุ้นกลยุทธ์พื้นฐานที่แนะนำวันนี้เป็น TU
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดรวมเป็นบวกเล็กๆ มีโอกาสรีบาวด์จากระดับปิดวานนี้มีแนวต้าน 1560, 1570
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ CPN MC TU TKS ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ JMART MEGA SQ HTECH TFG BLA SAT หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ PTTGC WORK AMATAV TPOLY TWPC หุ้นหลุด List คือ GFPT
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
+ เยอรมนี : ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 2.8% สูงกว่าคาดการณ์
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขที่เหนือกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5% โดยผลผลิตของภาคการผลิตปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ 3.7% แต่อย่างไรก็ตาม ผลผลิตภาคการก่อสร้างลดลง 1.3% ขณะที่ผลผลิตภาคพลังงานลดลง 0.7%
• ตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 69.03 จุด หลังราคาน้ำมันร่วง,วิตกเฟดขึ้นดบ.
ดัชนี DJIA ปิดที่ 20,855.73 จุด ลดลง 69.03 จุด หรือ -0.33% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,837.55 จุด เพิ่มขึ้น 3.62 จุด หรือ +0.06% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,362.98 จุด ลดลง 5.41 จุด หรือ -0.23% หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงกว่า 5% ซึ่งฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดจากกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ หลังจากออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) รายงานว่าตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.พ.
• สัญญาน้ำมันดิบ : น้ำมัน WTI ปิดร่วง $2.86 หลังสต็อกน้ำมันดิบพุ่งต่อเนื่อง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 2.86 ดอลลาร์ หรือ 5.4% ปิดที่ 50.28 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 9 ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานล้นตลาด
• สัญญาทองคำ : ทองปิดร่วง $6.7 หลังตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนหนุนคาดการณ์เฟดขึ้นดบ.
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 6.7 ดอลลาร์ หรือ 0.55% ปิดที่ระดับ 1,209.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 7 เมื่อคืนนี้ (8 มี.ค.) หลังจากออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) รายงานว่าตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.พ. โดยข้อมูลดังกล่าวได้เพิ่มน้ำหนักให้กับกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์
ปัจจัยในประเทศ :
+ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : รฟม.คาดลงนามรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลืองกับกลุ่ม BSR เม.ย.นี้
ผู้ว่าการรฟม.รายงานความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรงว่ารฟม.จะจ่ายเงินอุดหนุนให้กลุ่มกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง BTS & BTS & RATCH 20,000 ล้านบาท เป็นเวลา 10 ปี และเอกชนจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้ประมาณ 250 ล้าน/ปี โดยจะเสนอเรื่องนี้ให้สคร.พิจารณาแล้วเมื่อ 6 มี.ค. หากเห็นชอบก็จะนำเรื่องเสนอครม.พิจารณาต่อไป และคาดว่าจะลงนามในสัญญาได้ในเดือนเม.ย.นี้
+ TASCO (ราคาปิด 26.50 บาท) : กำไรปี 60 ฟื้นตัว
# ราคาขายยางมะตอยฟื้นตัวดีขึ้นตามอุปสงค์ที่มากขึ้นในภูมิภาค หลังจากที่ได้ถึงจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 59 ขณะที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปัจจุบันได้เพิ่มขึ้น 10% มาที่ 55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (เทียบกับ ธ.ค.59 ที่ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ราคาขายยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น 27% เป็น 280 เหรียญสหรัฐต่อตัน (เทียบกับ ธ.ค.59 ที่ 220 เหรียญสหรัฐต่อตัน) อันเป็นผลพวงจากอุปสงค์จากทางจีนและอินโดนีเซียฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากได้อุปสงค์ได้หดตัวลงไปมาในปี 59 ที่ผ่านมา กอปรกับอุปทานกลับปรับตัวลง เพราะคู่แข่งขันรายใหม่ที่เข้ามาในปี 59 ก็ประสบภาวะการขาดทุนที่มาก จึงได้ลดกำลังการผลิตลง หรือได้ออกจากธุรกิจยางมะตอย
# คาดว่าอุปสงค์ยางมะตอยในประเทศจะเพิ่มขึ้นหลังเหตุการณ์น้ำท่วมหนักภาคใต้คลี่คลาย โดยคาดว่าจะต้องมีการซ่อมแซมถนนหนทางที่เสียหายกันในปี 60 อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายยางมะตอยจากส่วนนี้ไม่น่จะเพิ่มแบบมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปริมาณการขายทั้งหมดของบริษัท แต่มีส่วนที่จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นได้ เพราะปกติแล้วการขายยางมะตอยในประเทศจะให้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าส่งออกอยู่ราว 10-15% ทั้งนี้ TASCO มียอดขายยางมะตอยในประเทศ 30% และส่งออก 70%
# แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 35 บาท/หุ้น ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 60 ที่ 12 เท่า (+0.75 SD จากค่าเฉลี่ย P/E) สำหรับคาดการณ์กำไรปี 60 คาดว่าจะเติบโต 46% ซึ่งทำให้ Forward P/E ปีนี้เหลือเพียง 9 เท่า ส่วน Dividend Yield ปี 60 ประมาณการไว้ที่ >4%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]