- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 09 March 2017 17:07
- Hits: 1581
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET กำลังจะเริ่มทรงตัวและลุ้นดีดขึ้น ดังนั้นทยอยซื้อลบแล้วเน้นถือ
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับตัวไหลลงแรงถึงกว่า 15 จุดในช่วงครึ่งเช้า จากความกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า (14-15 มี.ค.) โดยอ่อนแรงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคพอควร เนื่องจากช่วงหลังนักลงทุนต่างประเทศในบ้านเรามียอดขายสุทธิต่อเนื่องเกือบทุกวัน อย่างไรก็ตามหลังจากตลาดปรับตัวลงมามากแล้ว ก็เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนตลาดให้ทรงตัวได้ในช่วงต้นบ่าย ก่อนจะผลักดันให้ดัชนีไต่ระดับกลับขึ้นได้ในช่วงชั่วโมงท้าย จน SET พลิกกลับมาปิดเป็นบวกได้ในที่สุด
แนวโน้มตลาดวันนี้ : แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปิดปรับตัวลดลง หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกดิ่งลงกว่า 5% จากการที่ EIA เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันมาเป็นสัปดาห์ที่ 9 รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือน ก.พ. แต่ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ยังปิดบวกได้บ้าง เนื่องจากตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.พ.ของเยอรมนีปรับตัวขึ้นสูงกว่าคาด ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ยังมีทั้งแกว่งบวกและลบในกรอบจำกัด ขณะที่ SET เริ่มมีแรงซื้อกลับจากการลงแรงวานนี้ด้วย ทำให้ FSS คาดว่า SET มีลุ้นแกว่งทรงตัวได้ดีขึ้น และใกล้ที่จะมีจังหวะขยับบวกตามมาในเร็วๆ นี้ได้
กลยุทธ์ : ดังนั้น FSS ยังแนะนำให้เลือกหุ้นทยอยซื้อช่วงลบต่อไป แล้วเน้นถือเพื่อรอรอบบวกของตลาดในช่วงถัดไป เพื่อลุ้นดัชนีขึ้นหาเป้า 1650 จุดตามคาด
แนวรับ 1550-1546 , 1543-1538 จุด
แนวต้าน 1555-1558 , 1560-1563 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : APCO, PLAT, STEC(buy back)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$176ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$140ล้าน และไต้หวัน US$48ล้าน ขณะที่ไหลออกไทย US$24ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางชะลอตัว เพื่อรอการประชุม Fed ในกลางเดือนนี้ ขณะที่ราคาน้ำมันยังดิ่งลงต่ออีกครั้งเมื่อคืนนี้อาจกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานต่อ
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) ราคาน้ำมันร่วงหนัก หลังปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาดมาก โดยเพิ่มไปถึง 8 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่ม 2 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ซึ่งมีแนวโน้มแข็งค่าไปจนถึงการประชุมเฟดเป็นอย่างน้อย ยังกดดันราคาน้ำมันและ Commodity อื่นอีกทาง ระวังกลุ่มพลังงาน เหล็ก และ soft commodity กดดันตลาด
(-) GL การประชุมเมื่อเย็นวานนี้ เคลียร์เรื่องเงินลงทุนของบ.ย่อย ส่วนประเด็นเรื่องหลักประกัน หากไม่รวมหลักประกันที่เป็นหุ้น GL และสินเชื่อดังกล่าวเป็นสินเชื่อปกติ เราคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายสำรองฯเพิ่มเติมอีกราว 20 ล้านบาท หรือ 2% ของประมาณการกำไร แต่หากสินเชื่อดังกล่าวตกชั้นเพิ่มขึ้นการตั้งสำรองฯก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนที่ศรีลังกาเป็นความเสี่ยงให้บริษัทอาจต้องตั้งด้อยค่าเงินลงทุนในระยะถัดไป เพราะปัจจุบันราคาหุ้นของธุรกิจในศรีลังกาปรับลงแล้วกว่า 70% เบื้องต้นทั้งหมดนี้เราคาดว่าจะส่งผลต่อคาดการณ์กำไรปี 2017 ราว 12-15% กระทบราคาเหมาะสมจาก 48 บาท เป็น 33-35 บาท ยังไม่รวม Downside ที่อาจเกิดจากการด้อยค่าเงินลงทุน และความเสี่ยงต่อการปรับการรับรู้รายได้สินเชื่อเช่าซื้อจากรายย่อยหรือไม่ และนโยบายการตั้งสำรองหนี้สูญ ยังคงแนะนำหลีกเลี่ยง
(0) BDMS มีแผนลงทุนต่อยอดธุรกิจโรงพยาบาลทั้ง Forward และ Backward เช่นการลงทุน Wellness Clinic รวมถึงโรงพยาบาลที่เน้นด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูซึ่งเรามีมุมมองค่อนมาในเชิงบวก ส่วนเรื่องความกังวลของโครงการ Wellness Clinic เราคาดว่าจะกดดันการเติบโตของกำไรในช่วง 2 ปีแรกให้ต่ำกว่าระดับปกติ โดยเราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2017 ลง 7% เหลือเติบโต 8.2% Y-Y และปรับลดราคาเหมาะสมลงเหลือ 24 บาท อย่างไรก็ตามเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในระยะยาว ส่วนในแง่ราคาหุ้นเราเชื่อว่าปรับตัวลงสะท้อนปัจจัยลบและความกังวลไปมากแล้ว จึงยังคงคำแนะนำ ซื้อลงทุนระยะยาว
(-) SYMC กลุ่ม TIME dotcom Berhad จะทำ Tender offer ขั้นต่ำที่ 35% แต่ไม่เกิน 37% ที่ราคา 12.20 บาท หลังจากนั้นจะเพิ่มทุนแบบ RO ที่ 2.86-2.92 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคา 8.80 บาท ขั้นตอนทั้งหมดต้องรออนุมัติจากกสทช.ซึ่งคาดใช้เวลา 120-170 วัน เรามองว่าเป็นผลดีที่มีพันธมิตรเข้ามากู้สถานการณ์โดยเฉพาะตลาด IPLC ที่กำลังโตแรง แต่เป็นลบจากการเพิ่มทุนซึ่งจะทำให้เกิด Dilution Effect ต่อราคาหุ้น 23-24% และต่อ EPS 34-35% ขณะที่กำไรปี 2017 โตตามไม่ทัน (คาดทรงตัว Y-Y ที่ 99 ลบ.) เพราะต้องตัดค่าเสื่อมโครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ (MCT) เราคาดว่า PE หลังเพิ่มทุนจะเพิ่มเป็น 50 เท่าจากเดิมที่ 40 เท่า แพงกว่า ITEL ซึ่งอยู่ที่ 37 เท่า เราจึงยังแนะนำ ขาย (ราคาพื้นฐาน 10.80 บาท) และเปลี่ยนไปลงทุนใน ITEL (ราคาพื้นฐาน 14 บาท) แทน
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
9 มี.ค. - ยูโรโซน: ECBประชุม
- จีน:อัตราเงินเฟ้อ (ก.พ.)
- ฟิลิปปินส์:ธนาคารกลาง (BSP) ประชุม
10 มี.ค. - จีน:ดุลการค้า (ม.ค.)
- สหรัฐ:การจ้างงานนอกภาคเกษตร (ก.พ.) (ตลาดคาด +1.75 แสนราย ลดลงจากเดือนก่อนที่ 2.27 แสนราย)
14-15 มี.ค. - สหรัฐ:FOMC Meeting
14 มี.ค. - จีน:ยอดค้าปลีก, Industrial Production (ก.พ.)
- ยูโรโซน: ZEW Survey Expectations (มี.ค.)
15 มี.ค. - สหรัฐ:ยอดค้าปลีก, อัตราเงินเฟ้อ (ก.พ.)
- เนเธอร์แลนด์:การเลือกตั้งทั่วไป
16 มี.ค. - ญี่ปุ่น: BOJประชุม
- สหรัฐ: Housing starts & Building permits (ก.พ.)
- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (ก.พ.)
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมายังปิดในแดนลบต่อโดยถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงกว่า 5% ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.พ. ของ ADP ยังออกมาดีกว่าคาดซึ่งทำให้โอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยเดือนนี้เป็นไปได้ค่อนข้างแน่
(0) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดบวกได้เล็กน้อยหลังตัวเลขเศรษฐกิจของเยอรมนีแข็งแกร่งกว่าคาด อย่างไรก็ตามตลาดยังชะลอการซื้อขายและจับตาดูผลการประชุม ECB ในวันนี้
(-) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวค่อนมาในแดนลบเช่นกันโดยบรรยากาศการลงทุนวันนี้ถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรง
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงวานนี้ ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 35.25-35.35 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ร่วงแรง 2.86 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 50.28 ดอลลาร์/บาร์เรล และต่ำสุดในรอบ 3 เดือนหลัง EIA เปิดเผยว่าสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดมากและเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 9 สัปดาห์
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ร่วงลง 6.70 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,209.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ต่ำสุดในรอบ 1 เดือนหลัง ADP รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.พ. ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งยิ่งทำให้ตลาดคาดว่า FED น่าจะขึ้นดอกเบี้ยค่อนข้างแน่ในเดือนนี้
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852 www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch