- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 08 March 2017 18:42
- Hits: 11358
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TMT (จากถือเป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยลดลงอีก 3.74 จุด ปิดที่ 1549.87 การซื้อขายซบเซา เพราะรอปัจจัยใหม่ เช่น รายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ รวมถึงผลประชุมเฟด 14-15 มี.ค.60 ต่างชาติยังขายสุทธิต่อ 2.4 พันล้านบาท สถาบันในประเทศและรายย่อยซื้อสุทธิ ปัจจัยสำคัญในช่วงนี้ ได้แก่
- การปรับขึ้นของดอกเบี้ยสหรัฐ & แนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรภาคธุรกิจที่เติบโตแกร่ง ทำให้ค่าเงิน US$ อยู่ในทิศทางแข็งค่า & บาทอ่อนค่า
/- เมื่อคืนนี้ดัชนีหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวในกรอบแคบ รอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ที่จะออกมาศุกร์นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะจ้างเพิ่ม 1.8-1.9 แสนตำแหน่ง และอัตราว่างงานอยู่ที่ 4.7% สัญญาน้ำมันทรงตัวต่อ สัญญาทองคำร่วงหลังค่าเงิน US$ แข็งขึ้น
+ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ปี 60 มีแนวโน้มเติบโตได้ 2-3% หลังติดลบต่อเนื่องมาแล้ว 4 ปี เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในประเทศดีขึ้นโดยเฉพาะประเภท PPV ด้าน NPL ก็ลดลงเหลือเพียง 2.5-2.6% ของสินเชื่อรวม เราให้ TISCO เป็นหุ้นเติบโต, TP : 75 บาท, TCAP เป็นหุ้นมั่นคง, TP : 53 บาท และ KKP เป็นหุ้นปันผล, TP : 70 บาท ในกลุ่มแบงค์เล็กที่เน้นธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ (ดูรายละเอียดเพิ่มด้านใน)
+ TMT : ราคาหุ้นร่วงหลังขึ้น XD ขณะที่ยอดขายและมาร์จิ้น 1Q60 ยังสูงมาก เพราะราคาเหล็กเพิ่มกว่า 10% จากเฉลี่ยใน 4Q59 และบริษัทสต็อกสูงกว่าปกติ มาร์จิ้นเดือนม.ค.60 แกร่งที่ 16% (4Q59 : 10.9% & 1Q59 : 14.7%) ประเมินว่ากำไร 1Q60 มีสิทธิบวก YoY แม้ 1Q59 เป็นฐานที่สูงมาก ส่วน QoQ ค่อนข้างเพิ่มแน่นอน ราคาอ่อนตัวเป็นจังหวะซื้อลงทุน ให้ TP : 19.80 บาท คาด Dividend Yield ปีนี้ 7.8%
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing เป็นระยะ และในช่วงสั้นที่ตลาดมีการพักฐานเราก็ทำการบ้านหาหุ้นดีเพื่อทยอยซื้อสะสมช่วงราคาอ่อนตัว ซึ่งหุ้นดังกล่าวที่แนะนำวันนี้เป็น TMT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดรวมเป็นลบ แนวรับ 1550-1540 การรีบาวด์จากระดับปิดวานนี้มีแนวต้าน 1560-1570, 1580
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ AMATAV, TPOLY, TWPC, BLA, SAT ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ JMART, PTTGC, MEGA, SQ, HTECH, TFG, WORK, GFPT หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ ITEL หุ้นหลุด List คือ SINGER
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ :
สหรัฐ : เดือนม.ค.ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเพราะนำเข้าเติบโตมากกว่าส่งออก
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า สหรัฐมีตัวเลขขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 9.6% ในเดือนม.ค. สู่ระดับ 4.85 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2012 โดยส่งออก +0.6% เป็น 1.921 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. สูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2014 ขณะที่นำเข้าสินค้าและบริการ +2.3% สู่ระดับ 2.406 แสนล้านดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2014 เช่นกัน
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ปิดในกรอบแคบ
นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายของทรัมป์ หลังจากที่พรรครีพับลิกันได้เปิดเผยแผนฉบับใหม่ที่จะนำมาใช้แทนกฎหมายประกันสุขภาพที่เรียกว่า "โอบามาแคร์" นอกจากนี้ยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.พ.ในวันศุกร์นี้ (ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 1.8-1.9 แสนตำแหน่งในเดือนก.พ. อัตราการว่างงาน 4.7%) และก่อนการประชุมเฟด 14-15 มี.ค.60 ปิดตลาดดัชนี DJIA อยู่ที่ 20,924.76 จุด ลดลง 29.58 จุด หรือ -0.14% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,833.93 จุด ลดลง 15.25 จุด หรือ -0.26% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,368.39 จุด ลดลง 6.92 จุด หรือ -0.29%
สัญญาน้ำมันดิบ : ทรงๆ ตัว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 6 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 53.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 55.92 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ตลาดประเมินว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะยังเพิ่มขึ้นต่อเป็นสัปดาห์ที่ 9 และแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เคยปิดไปจะกลับมาใช้งานเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่การลดปริมาณผลิตของกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกมีความไม่แน่นอนมากขึ้นหลังจากรัสเซียลดการผลิตเพียง 1 ใน 3 ตามแผนเท่านั้น (คณะกรรมการตรวจสอบความร่วมมือจะประชุมกัน 25 มี.ค.นี้ที่คูเวต)
- สัญญาทองคำ : ร่วงลงเกือบ 0.8%
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 9.4 ดอลลาร์ หรือ 0.77% ปิดที่ระดับ 1,216.10 ดอลลาร์/ออนซ์ เพราะถูกกดดันจากโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ ซึ่งทำให้ค่าเงิน US$ แข็งขึ้น ล่าสุดดัชนีค่าเงินดอลลาร์อยู่ที่ 101.7 จากที่อ่อนสุดระดับ 99.2 ในต้นเดือนก.พ.2017
ปัจจัยในประเทศ :
+ ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ : สมาคมฯคาดปี 60 จะเติบโตได้หลังหดตัวต่อเนื่องมาแล้ว 4 ปี
สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยคาดว่าแนวโน้มธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ของไทยในปี 60 จะกลับมาเติบโตได้ หลังจากติดลบมา 4 ปีต่อเนื่อง โดยในปี 59 ยอดขายรถยนต์ในระบบมี 7.6 แสนคัน ส่วนปี 60 คาดว่าจะเติบโต 5% เป็น 8 แสนคัน ทั้งนี้ผู้ซื้อรถยนต์ในไทยราว 80% ใช้สินเชื่อเช่าซื้อฯ ทำให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะขยายตัวได้ตามไปด้วยในระดับ 2-3% (ณ สิ้นปี 59 มีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คงค้างในระบบ 2.1 ล้านล้านบาท และปีก่อนมีการปล่อยสินเชื่อใหม่ 3 แสนล้านบาทแต่มีการชำระคืนมากกว่าทำให้สินเชื่อโดยรวมลดลง) โดยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นคือ รถยนต์อเนกประสงค์ (PPV) ทางด้าน NPL ratio สิ้นปี 59 อยู่ที่ 2.5-2.6% ซึ่งลดลงจากที่เคยสูงกว่า 3% เพราะควบคุมคุณภาพสินเชื่อใหม่ในหลายปีที่ผ่านมา (ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 8 มี.ค.60)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : สำหรับหลักทรัพย์ที่ DBSV ทำการวิเคราะห์ที่ดำเนินธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ คือ KKP, TCAP, TISCO เราก็ประมาณการว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่จะเติบโตได้ในปีนี้ แต่จะเห็นในช่วง 2H60 มากกว่า ขณะเดียวกันสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น ด้าน NPL ratio ก็ลดลงเป็นลำดับ ซึ่งดีกว่าธนาคารขนาดใหญ่ที่ NPL ยังขยับขึ้นต่อโดยเฉพาะในส่วน SME และรายย่อย (แต่ก็คาดว่าจะ Peak ในปีนี้ แล้วทยอยลดลงในปี 61 เป็นต้นไป) ในเชิงกลยุทธ์ เราจัดให้ TISCO (ราคาพื้นฐาน 75 บาท ณ ราคาปิดเมื่อวานนี้มี Upside 15%) เป็นหุ้นเติบโตในกลุ่มแบงค์เล็ก โดยคาดว่ากำไรปีนี้จะ +22% ส่วน TCAP (ราคาพื้นฐาน 53 บาท มี Upside 10%) เป็นหุ้นมูลค่าเพราะมี Valuation ที่ต่ำ โดยมี P/E ปี 60 ต่ำสุดในกลุ่มที่ 7.9 เท่า และ P/BV 0.9 เท่า Dividend Yield 4.4% ส่วน KKP (ราคาพื้นฐาน 70 บาท มี Upside 6%) เป็นหุ้นปันผลสูง โดยคาดการณ์ Dividend Yield ปีนี้ไว้ที่ 6%
+ BEM (ราคาปิด 7.10 บาท) : คาดครม.จะพิจารณางานเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนขยายภายในมี.ค.60 นี้
เมื่อวานนี้ยังไม่ได้มีการเสนองานเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแคให้ครม.พิจารณา เนื่องจากเพิ่งส่งไปบรรจุเป็นวาระ อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมคาดว่าจะนำเสนอเรื่องนี้ให้ครม.พิจารณาภายในเดือนมี.ค.60 และสามารถลงนามกับ BEM ได้ภายในเดือนนี้เช่นกัน (ที่มา : ข่าวหุ้น 8 มี.ค.60)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อลงทุนใน BEM โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 60 จะเติบโตสูง เพราะรับรู้รายได้จากสายสีม่วงเต็มปี ปริมาณผู้โดยสารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นหลังจากเปิดเดินรถทางเชื่อม 1 สถานีบางซื่อ-เตาปูนแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการในเดือนส.ค.60 เพราะผู้โดยสารจะ Feed เข้ามาเพิ่มในส่วนสายสีน้ำเงินได้มากขึ้น ขณะเดียวกันธุรกิจทางด่วนยังไปได้ดี ประมาณการว่ากำไรสุทธิปี 60 ของ BEM จะเติบโต 39% หลังจากทรงตัวในปี 59 แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 8.50 บาท ซึ่งมี Upside จากราคาปิดวานนี้ 20%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]