- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 08 March 2017 18:06
- Hits: 3753
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ตามตลาดต่างประเทศ? คาดยังมีโอกาสปรับลงตามตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ ภายใต้ปัจจัยกดดันเดิมจากประเด็นต่างประเทศ โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่เฟดอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่คาดมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนถึงวันประชุมในสัปดาห์หน้า (14 – 15/3/60) ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดหมายกันไว้ก่อนหน้านี้ ที่คาดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในปีนี้น่าจะเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย.
และภายใต้ประเด็นข้างต้น ยังแนะจับตา (1) เงินสหรัฐฯ ที่คาดมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคาดส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายเป็นเงินสหรัฐฯ มีราคาลดลง และ (2) Fund Flow ไหลออกจาก Emerging Market รวมถึงไทย
ขณะที่ในระยะกลาง มีการเลือกตั้งของหลายๆ ประเทศในยุโรป เช่น ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ตามลำดับ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองก็จะกดดันภาพรวมตลาดในระยะต่อไป
ทางด้านราคาน้ำมัน คาดในระยะสั้นยังมีความผันผวนจาก (+) แผนการปรับลดปริมาณผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ทั้ง OPEC และ Non OPEC (-) ปริมาณผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ที่ยังเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ยังคงมีความกังวลอุปทานส่วนเกิน อย่างไรก็ตาม คาดระดับราคาน้ำมันในปี’60 อยู่ในระดับที่สูงกว่าปี’59 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 41 – 42USD ดังนั้นเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนเมื่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับลดลง
ทางด้านประเด็นในประเทศ แม้ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ แต่คาดได้รับปัจจัยกดดันเพิ่มขึ้นจาก Fund Flow ไหลออกต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และทำให้ YTD กลับเป็นยอดขายสุทธิสะสม สูงเกือบ 5,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตามได้รับการชดเชยเข้ามาบ้าง จากแรงซื้อสุทธิของสถาบันในประเทศ
ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดดีขึ้นตามลำดับ ภายใต้ (1) การลงทุนของภาครัฐ ที่ได้แรงขับจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (2) รายได้เกษตรกรที่คาดปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และสถานการณ์ภัยแล้งที่ผ่อนคลายลง และ (3) การส่งออกปรับตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น โดย กกร. คาดส่งออกเติบโต 1.0 – 3.0% รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และ (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวไทย ซึ่ง ททท. คาดว่าทั้งปี’ 60 อยู่ที่ 34 - 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 32.59 ล้านคน เมื่อปี’59 พร้อมคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 10% จาก 1.64 ล้านบาทเมื่อปี’59
SET SET50 SET100
1,549.87 -3.74 974.53 -1.01 2,196.78 -3.87
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-) ตลาดต่างประเทศ DJIA -29.58, NASDAQ -15.24, S&P -6.92, FTSE -11.13, CAC -17.19 และ DAX +7.74
ภายใต้ความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ หลังพรรครีพับลิกันเปิดเผยแผนฉบับใหม่ที่จะนำมาใช้แทนกฎหมายประกันสุขภาพที่เรียกว่า "โอบามาแคร์"
ขณะที่สหรัฐฯ มีตัวเลขขาดดุลการค้า – ม.ค. เพิ่มขึ้น 9.6% อยู่ที่ 4.85 หมื่นล้านUSD ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่มี.ค.’55 จากการ
ออกสินค้าและบริการ เพิ่มขึ้น 0.6% อยู่ที่ 1.921 แสนล้านUSD ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่ธ.ค.’57 ขณะที่นำเข้าสินค้าและบริการ เพิ่มขึ้น 2.3% อยู่ที่ 2.406 แสนล้านUSD ซึ่งสูงสุดนับแต่ธ.ค.’57 เช่นกัน
รวมถึงคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ หลัง ประธานเฟดส่งสัญญาณชัดเจนว่า เฟดพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ หากเศรษฐกิจมีการขยายตัวที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของเจ้าหน้าที่ โดย CME Group FedWatch ระบุว่า ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ บ่งชี้ว่า มีโอกาสสูงถึง 86.4% ที่ เฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยลบเพิ่มจากยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของเยอรมัน - ม.ค. ลดลง 7.4%MoM สูงกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 2.5%
โดยการซื้อขายเป็นไปอย่างระมัดระวัง ก่อนธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะประชุมนโยบายการเงินในวันพรุ่งนี้ (9/3/60) ซึ่งคาดจะส่งสัญญาณเรื่องทิศทางการดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงิน
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
17.08 1.9 3.06
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 36,607.18
สถาบัน 1,044.79
บัญชีหลักทรัพย์ 30.37
ต่างประเทศ -2,411.63
ในประเทศ 1,336.46
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ TKN เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากการเปิดขายโครงการในปี’60
ที่โดดเด่น เช่น ANAN และ SPALI เป็นต้น
(6) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐและเอกชน
ที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ และ UNIQ เป็นต้น
(7) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น และ BANPU ปรับตัวขึ้นตามราคาถ่านหิน
(8) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(9) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจขนส่งทางเรือ เช่น PSL คาดได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากการปรับตัวของอุตสาหกรรมเรือเทกอง
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.02 อยู่ที่ 2.51%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.21 อยู่ที่ 11.45
หุ้นแนะนำ : PTTGC
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. -US$0.06 อยู่ที่US$53.14ต่อบาร์เรล ภายใต้คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นอีก 1.6 ล้านบาร์เรล ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 9 และยังได้รับปัจจัยกดดันจากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 7 แท่น อยู่ที่ 609 แท่น ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน
ขณะที่จะมีการประชุมกลุ่มโอเปก ในเดือนพ.ค. อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการตรวจสอบความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิต รวมถึงรัสเซีย จะพบปะกันในการประชุมที่คูเวตในวันที่ 25/3/60
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. -US$9.4 อยู่ที่US$1,216.1ต่อออนซ์ โดยยังคงได้รับปัจจัยกดดัน จากประธานเฟด ส่งสัญญาณว่า มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ หากเศรษฐกิจมีการขยายตัวที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของเจ้าหน้าที่เฟดหลายๆ สาขาก่อนหน้านี้
(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -2,412 ล้านบาท สะสม YTD -5,446 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 8 - 10 มี.ค. 2560
8/3/60 สหรัฐฯ เปิดเผย
ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ.
ข้อมูลที่มีการปรับแก้ไขของประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนแรงงานต่อหน่วยประจำไตรมาส 4/2016
ตัวเลขสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนม.ค.
สต็อกน้ำมัน
9/3/60 ประชุมธนาคารกลางยุโรป - ECB
สหรัฐฯ เปิดเผย
ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.พ.
10/3/60 สหรัฐฯ เปิดเผย
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.
งบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนก.พ.
หุ้นแนะนำ
PTTGC : ราคาเป้าหมาย (ปี 2560) 82.00 บาท
PTTGC ประกาศผลการดำเนินงานปี’ 59 มีกำไรสุทธิ 25,602 ล้านบาท ขณะที่ 4Q/59 มีกำไรสุทธิ สูงถึง 9,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% qoq และ 108% yoy จากผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีในสาย
โอเลฟินส์ที่ฟื้นตัวขึ้น qoq หลังโรงงานโอเลฟินส์ปิดซ่อมบำรุง เมื่อ 2Q/59 กลับมาผลิตตามปกติตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. ’59 และผลิตได้เต็มที่ในช่วง 4Q/59 จาก 92% เมื่อ 3Q/59 รวมถึงมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน และได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นที่สูงขึ้น
คาดผลการดำเนินงานของ PTTGC ในปี ’60 จะฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง คาด HDPE สามารถยืนได้ที่ระดับ 1,100-1,200 USD/ton และได้รับประโยชน์จากการเข้าซื้อกิจการปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทลูกของ PTT คาดทำให้เกิด Synergy กับธุรกิจเดิมของ PTTGC ที่มีอยู่แล้ว และเพื่อรองรับการเป็น flagship ทางด้านปิโตรเคมีในกลุ่ม PTT
ประเมินราคาเป้าหมายที่ 82.00 บาท
นักวิเคราะห์ : จิตรลดาเลขาพันธ์ โทร .02-684-8788