- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 06 March 2017 17:00
- Hits: 1474
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วันศุกร์ที่ผ่านมา กลับมาแกว่งแคบ 1,570 จุด +/- โดยหุ้น High beta ขยับเด่นอย่าง TRUE / TPIPL/ STA เป็นต้น ภายใต้บรรยากาศรอบเอเชียที่ซึมตัวลง เพราะกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ปิด ณ สิ้นวันที่ 1,566.20 จุด ลบ 3.74 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 34,048 ล้านบาท
ทั้งนี้ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 5 มากถึง 2,073 ล้านบาท Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 7,528 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 5 อีก 1,155 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ยอด YTD ต่างชาติกลับมาขายสุทธิ 1.1 พันล้านบาท ทั้ง SET และ MAI รวมกัน
ล่าสุดตลาดคาด 94% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 15 มี.ค.
จีนปรับเป้าเติบโต GDP ปีนี้ลงเหลือ 6.5%
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 26)
เราประเมิน SET INDEX จะยังอ่อนแอเหมือนเช่น 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างชาติกลับมา ขายสุทธิ YTD ในตลาดหุ้นและ MAI อีกครั้ง 1,108 ล้านบาท และเร่ง Short สุทธิใน SET50 Index Futures มองว่าเป็นการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะกลับมาแข็งค่าตอบรับกับโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 15 มี.ค.นี้ ล่าสุดตลาดคาด 94% ในการประชุมนัดนี้
อีกทั้งผลการดำเนินงานใน 4Q59 ของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทย เติบโตเพียง 18.14% yoy แต่ลดลง 3.87% qoq ภาพรวมปีนี้ Bloomberg consensus คาดเติบโต 9.99% yoy เทียบกับ PER60 ที่ 15.20x ทำให้เกิด Upside gain จำกัด แต่ Downside risk ของ SET INDEX ก็จจำกัดเช่นกัน เพราะความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน บวกกับภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ ทำให้เราประเมิน SET INDEX จะแกว่งแคบระหว่าง 1,560-1,575 จุดในวันนี้ ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบางต่อเนื่อง
ภาพรวมกลยุทธ์การลงทุน “คงแนะนำทยอยสะสมหุ้น Big Cap ที่ผลตอบแทนเงินปันผลงวดปี 2559 หรือ 2H59 สูงกว่า 4%” ต่อเนื่อง
Daily Pick
1. สะสม TKS : ราคาปิด 12.10 บาท ราคาเหมาะสม 17.00 บาท
a) ประกาศจ่ายเงินปันผล 2H59 หุ้นละ 0.50 บาท ขึ้น XD วันที่ 16 มี.ค. คิดเป็น Dividend Yield เท่ากับ 4.1%
b) คาดกำไรสุทธิปี 2560 เติบโต +25.6% yoy เป็น 383 ล้านบาท จากการขยายตัวไปยังธุรกิจต่างประเทศ ได้แก่ เขมร, ลาว และธุรกิจใหม่ซึ่งร่วมทุนกับญี่ปุ่นคือการผลิต Label ขณะที่บริษัทร่วมคือ SYNEX คาดว่ากำไรจะทำระดับสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องในปี 2560
c) Valuation น่าสนใจ ที่ระดับ PER2560 เท่ากับ 12.21 เท่า เทียบเท่า PEG ที่ 0.48 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2560 – 2561 สูงถึงปีละ 5.5% นอกจากนั้น ยังมีฐานการเงินที่แข็งแกร่งเป็น Net Cash จึงมีความพร้อมเต็มที่เพื่อขยายตัวไปยังธุรกิจใหม่ หรือ ตลาดใหม่ ได้อีกมากในอนาคต
2. สะสม KTB : ราคาปิด 19.80 บาท ราคาเหมาะสม 21.00 บาท
a) เราคาด KTB เงินปันผลงวดปี 2559 เท่ากับ 0.90 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.50% ตามปกติ KTB มักจะประกาศจ่ายปันผลช่วงปลายเดือนมี.ค.
b) ปัจจัยบวกระยะ 2 เดือนข้างหน้าคือ การประชุมผู้ถือหุ้นของ AQ เพื่ออนุมัติแผนการเพิ่มทุน PP และ RO ช่วงปลายเดือนเม.ย. หากอนุมัติและเพิ่มทุนได้สำเร็จ AQ จะนำเงินมาชำระเงินกู้กับ KTB ทั้งเงินต้นบวกดอกเบี้ยราว 1.3 หมื่นล้านบาท ทำให้ KTB จะสามารถบันทึกรายการดังกล่าวเป็นกำไรได้ใน 2Q60
c) ปัจจัยข้างต้นจะทำให้ภาระการตั้งสำรองของ KTB ในปีนี้ลดลง แต่จะเป็นการเพิ่มอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้วัดคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้น
d) ราคา ณ ปัจจุบัน ซื้อขาย PBV60 ต่ำเพียง 0.94x และ PER60 เท่ากับ 8.25x
Strategist Team
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Krittapol Itthithumsakul
Assistant Analyst
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong